Aubert Sonoma Coast Pinot Noir นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Aubert ที่มีชื่อเสียงในด้านอาคารที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว รวมทั้งยังเป็นสถานที่เพาะปลูกองุ่นสายพันธุ์ Chardonnay และ Pinot Noir นอกจากนี้แบรนด์ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ที่บริเวณชายฝั่ง Sonoma Coast ในบริเวณเขตแดน Sonoma ทางด้านเขตชายฝั่งตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นเพียงแค่สายพันธุ์เดียวมาใช้ในการผลิตในครั้งนี้ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir ที่มีการเพาะปลูกอย่างนิยมในบริเวณเมือง Burgundy และเมืองแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทางผู้ผลิตนั้นจะคัดเลือกเพียงแค่องุ่นที่มีการเพาะปลูกเฉพาะในไร่องุ่นของแบรนด์ไวน์มาใช้เท่านั้น เพื่อการผลิตในกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับทางผู้ผลิตกับโรงกลั่นไวน์ที่ดีที่สุด
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม เป็นสีแดงสดผสานกับกันเงาเคลือบสีม่วงตัดกันสมกับเป็นไวน์ชั้นดี บวกกันกับกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่มีลักษณะที่มีกลิ่นอายของความเผ็ดร้อนและคลาสสิกร่วมสมัย จึงทำให้ไวน์นี้มีเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว บวกกันกับไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นจากผลเบอร์รี่สีดำและผลลูกพลัมสีดำที่ผสานกันกับกลิ่นและเนื้อสัมผัสของต้นโอ๊กที่เข้ากันอย่างดีและถ่ายทอดความนุ่มนวลและความเบาบางที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นทั้งในกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างมีลักษณะเฉพาะตัวที่หาได้ยากในไวน์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นความนุ่มนวลและความเบาบางที่ผสานกันได้เป็นอย่างดี รวมทั้งรสชาติที่มาจากผลเคอร์แรนสีดำและลูกพลัมสีดำที่เข้ากันกับต้นโอ๊กได้อย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เครื่องในสัตว์ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่กับเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ15.3%
Aubert Sonoma Coast Pinot Noir
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Chacra Patagonia Treinta y Dos Pinot Noir นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งในแถบบริเวณทางด้านทวีปอเมริกาใต้ โดยแบรนด์ไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Bodega Chacra ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนอย่าง Rio Negro Valley ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง Patagonia ของประเทศอาร์เจนติน่า ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้เกิดขึ้นมาจากการก่อตั้งของครอบครัว Incisa Rocchetta ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับแบรนด์ไวน์ดังในประเทศอิตาลีอย่างTenuta San Guido ที่มีชื่อเสียงและผ่านการรับรองว่าเป็นไร่องุ่นที่มีการผลูกแบบออร์แกนิกและการใช้วิธี “ไบโอไดนามิก” ในการปลูกองุ่นอีกด้วย
ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นเพียงแค่สายพันธุ์เดียวมาใช้ในการองุ่น โดยสายพันธุ์ที่นำมาใช้นั้นก็คือองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir แท้ 100% อีกด้วย ซึ่งองุ่นที่นำมาใช้นั้นเป็นองุ่นที่มีการเพาะปลูกในไร่ของแบรนด์ไวน์เองและใช้โรงกลั่นไวน์ที่ทางครอบครัวผู้ผลิตเป็นเจ้าของด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งองุ่นทั้งหมดที่ผ่านการเก็บเกี่ยวและเลือกสรรมาอย่างดีจะถูกนำไปหมักลงในถังคอนกรีตเป็นเวลายาวนานกว่า 19 เดือนด้วยกัน โดยภายในระยะเวลานั้น องุ่นจะถูกสลับสับเปลี่ยนให้นำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสพันธุ์เยี่ยมที่แตกต่างกัน 2 ถังในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน โดยในช่วง 45% จะใช้ถังที่ผ่านการใช้มาแล้วสองถึงสามครั้ง ในอัตราส่วนที่เหลือนั้นจะใช้ในถังไม้ที่ผ่านการใช้เป็นจำนวนสี่ครั้งด้วยกัน
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะที่ดีและยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง สมกับเป็นไวน์ที่มีความยอดนิยมในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป้นสีของเนื้อสัมผัสที่เป็นสีแดงสมกับเป็นไวน์แดงรุ่นยอดเยี่ยมเป็นที่ภูมิใจของแบรนด์ไวน์นี้ บวกกันกับกลิ่นและรสชาติที่เต็มไปด้วยกลิ่นที่หอมนวลกับเนื้อไวน์ที่ค่อนข้างเบาบาง มีเอกลักษณ์ทาจากเครื่องเทศชนิดต่างๆที่ผ่านการอบและเผาอย่างดี ผงเมสเก้หรือผงที่ใช้แทนน้ำตาลที่มีลักษณะคล้ายถั่ว รวมทั้งผลเชอร์รี่ที่เปื่อยยุ่ยผสานกันอย่างสมดุลลงตัว
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยม มีลักษณะที่โดดเด่นมาจากความสมดุล ความนุ่มนวล ความหอมหวานและความเป็นเครื่องเทศ ผงเมสเก้และผลเชอร์รี่ที่เปื่อยยุ่ยได้อย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เครื่องในสัตว์ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12-14%
Chacra Patagonia Treinta y Dos Pinot Noir
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Mayacama Cabernet Sauvignon นับได้ว่าเป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Mayacama ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ แหล่งโรงกลั่นไวน์ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน รวมทั้งยังเป็นแหล่งเพาะปลูกไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงและการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ที่บริเวณเทือกเขา Mount Veeder ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเทือกเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาที่อยู่ในเมืองแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นสายพันธุ์เดียวเท่านั้นในการผลิตในครั้งนี้ คือองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon แท้ 100% มาใช้ในกระบวนการผลิตและเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตในครั้งนี้ โดยทางผู้ผลิตได้มีการนำกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่มีการถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นมาใช้ในการผลิตในครั้งนี้ โดยหัวหน้าทีมผู้ผลิตอย่าง Andy Erickson ได้นำองุ่นทั้งหมดมาหมักลงในถังไม้โอ๊กที่ไม่มีความเป็นกรดและด่างจนเกินไปมาใช้หมักองุ่นเป็นเวลายาวนานกว่า 32-36 เดือนด้วยกัน โดยจะมีการแบ่งการหมักเป็นสองช่วง ในช่วง 20 เดือนแรกจะหมักลงในถังไม้ขนาดใหญ่ก่อน หลังจากนั้นอีกประมาณ 12-16 เดือนที่เหลือจะนำไปหมักในถังไม้โอ๊กที่มีขนาดที่เล็กกว่า โดยปริมาณทั้งในช่วงหลังจะอยู่ที่ประมาณ 225-500 ลิตรด้วยกัน
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์ในลักษณะที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมและน่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสีของไวน์นี้ที่เป็นสีแดงราวกับสีของเหล้าสาเกสีแดงสดสวยงาม ไม่ใช่แค่สาเกเท่านั้น ในช่วงแรกของเหล้าจะมีกลิ่นและรสชาติของสมุนไพรนานาชนิดกับพืชพันธุ์ sassafras ที่เป็นวัตถุดิบหลักในรูทเบียร์มาใช้ หลังจากนั้นไวน์ชนิดนี้จะเริ่มมีความเข้มข้นขึ้นมาจากผลเคอร์แรนสีแดง ต้นแดมซัน ลูกพลัมและความขมของผลเชอร์รี่เล็กน้อย ซึ่งลักษณะทั้งหมดนั้นมีความเปรี้ยว ความเป็นกรดที่เข้ากันได้ย่างดีกับความหวาน นอกจากนี้ในตอนสุกท้ายยังมีกลิ่นและรสสัมผัสของเหล็กเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีความเข้มข้นและโครงสร้างของไวน์ที่ค่อนข้างดีเยี่ยม รวมทั้งยังเป็นโครงสร้างของเนื้อสัมผัสที่แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน จากเบาบางไปเข้มข้นได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของวัตถุดิบอย่างเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด รวมทั้งชีสเข้มข้นและชีสผสมก็เหมาะสมเช่นกัน นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12.5-14.5%
Mayacama Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Wittmann Morstein Riesling Grosses Gewachs (GG) นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำมาจำหน่ายและถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นไวน์ชั้นเยี่ยมจากฝีมือแบรนด์ไวน์ชื่อดังในทวีปยุโรปอย่าง Weingut Wittmann ซึ่งเป้นสถานที่เดียวกันกับชื่อคฤหาสน์ที่มีการตั้งขึ้นมาอยู่ในหมู่บ้าน Westhofen ในเมือง Rheinhessen ของประเทศเยอรมนี ซึ่งสถานที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมแล้ว ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีมานานกว่า 350 ปีด้วยกัน
ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ที่เป็นเจ้าของแหล่งเพาะปลูกไวน์ถึงหกแห่งด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นสายพันธุ์ Riesling ซึ่งเป็นองุ่นที่มีเนื้อสัมผัสที่เบาบางมีกลิ่นหอมสมกับเป็นองุ่นพันธุ์เยี่ยมชั้นดีที่ถูกส่งตรงจากเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นองุ่นที่เกิดจากไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงอย่าง VDP Grosse Lage ซึ่งนับได้ว่าเป็นไร่องุ่นที่มีคุณภาพการเพาะปลูกที่สูงที่สุดที่ Wittmann มีมา
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้อีกว่าเป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสีของเนื้อสัมผัสเป็นไวน์ขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูร้อนและมีความสมดุลเป็นมนต์เสน่ห์หลักอย่างยิ่ง บวกกันกับกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำผึ้ง ลูกพีช ผลแอพริคอท ลูกแพร มะนาว เลม่อนและผลส้มที่มีทั้งความหวานและเปรี้ยวเป็นอย่างดี
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีจุดเด่นที่น่าโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของผลไม้ฤดูร้อนเป็นอย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นลูกแพร ผลแอพริคอท มะนาว เลม่อน ลูกพีชและน้ำผึ้ง ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นไวน์ที่เหมาะสมกับนักดื่มที่ชอบไวน์สไตล์เอเชียหรือไวน์ที่เหมาะกับการรับประทานริมทะเลที่อบอุ่น นอกเหนือจากนี้ยังเป็นไวน์ที่เหมาะกันกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมู เนื้อสัตว์ทะเลที่มีเปลือก เช่น เนื้อกุ้งหรือเนื้อปู เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด รวมทั้งอาหารที่รสชาติเผ็ดร้อนและอาหารที่มีการนำเนื้อหมักมาเป็นวัตถุดิบ รวมทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12.5-14%
Wittmann Morstein Riesling Grosses Gewachs (GG)
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Kistler Vineyards Durell Vineyard Chardonnay นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Kistler ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ที่บริเวณชายฝั่ง Sonoma Coast ในบริเวณเขตแดน Sonoma ทางดานเขตชายฝั่งตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นเพียงชนิดเดียวมาใช้ในกระบวนการผลิตในครั้งนี้ โดยวัตถุดิบที่นำมาใช้นั้น คือ องุ่นสายพันธุ์ Chardonnay แท้ 100% ซึ่งเป็นองุ่นที่นิยมในการมาผลิตไวน์ขาวที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ ซึ่งองุ่นที่นำมาใช้ในการผลิตไวน์ในครั้งนี้นั้นจะเป็นองุ่นที่มีการเพาะปลูกแค่ในส่วนของเมือง Burgundy และเมืองแคลิฟอร์เนียเท่านั้น เพื่อที่จะเป็นการรักษากรรมวิธีการดั้งเดิมที่มีมาแต่โบราณจากชาวอเมริกันพื้นเมือง โดยทางผู้ผลิตจะนำไปหมักในถังไม้โอ๊กใบใหม่ โดยตามแบบฉบับดั้งเดิมนั้นจะใส่ในปริมาณครั้งละ 60% แต่ว่าในยุคปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนให้มีความทันสมัยตามยุคมากยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนเป็น 40%
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะที่น่าสนใจและมีมนต์เสน่ห์น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสีของเนื้อสัมผัสที่เป็นสีขาวนวลสมกับเป็นไวน์ขาวชั้นเยี่ยมอย่างดี บวกกันกับกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมและเต็มเปี่ยมไปด้วยเครื่องเทศนานาชนิด บวกกันกับดอกส้มที่บานสะพรั่งที่ช่วยส่งกลิ่นหอมและเนื้อสัมผัสที่หวานนวล รวมทั้งส่วนของเนื้อไวน์ที่ค่อนข้างเป็นไวน์ที่มีความเต็มน้ำเต็มเนื้อกับลักษณะของความมันราวกับน้ำมันเล็กน้อย นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีสัมผัสที่ค่อนข้างติดลิ้นอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน ทำให้ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ค่อนข้างโดดเด่นอยู่พอสมควร
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์ชนิดนี้มีจุดเด่นที่เครื่องเทศที่ค่อนข้างเด่นเหนือจากจุดอื่นออกมา รวมทั้งยังมีกลิ่นและรสชาติของดอกส้มที่ทำให้เนื้อสัมผัสที่เต็มน้ำเต็มเนื้อ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมู เนื้อปลาที่มีราคาอย่างเนื้อปลาแซลม่อนหรือเนื้อปลาทูน่า เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด รวมทั้งอาหารมังสวิรัติก็เหมาะสมเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ก็ยังมีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.1%
Kistler Vineyards Durell Vineyard Chardonnay
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Clos Apalta XX นับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Clos Apalta ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการก่อตั้งและสร้างรากฐานของแหล่งการผลิตอยู่ที่ย่านชุมชนที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์ระดับต้นๆของทวีปยุโรปอย่าง Colchagua Valley ในประเทศชิลี โดยสถานที่แห่งนี้ยังนับได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและมีความสวยงามจนได้รับคำชมจากนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลายาวนานกว่า 25 ปี
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นมากมายถึง 4 สายพันธุ์มาเป็นองค์ประกอบและวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตในครั้งนี้ โดยองุ่นที่นำมาใช้นั้นจะนำมาใช้ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ Carmenere 48%, Cabernet Sauvignon 26%, Merlot 25% และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot 1% ด้วยกัน ซึ่งองุ่นทุกสายพันธุ์นั้นจะต้องมีการเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงช่วงปลายเดือนเมษายนเท่านั้น รวมถึงกระบวนการผลิตก็ยังมีความซับซ้อนด้วยเช่นเดียวกัน โดยทางผู้ผลิตนั้นจะมีการนำองุ่นไปทำให้เย็นเป็นเวลา 4-5 สัปดาห์ก่อน เพื่อให้เนื้อองุ่นหดตัวลงก่อน หลังจากนั้นก็จะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กพันธุ์ฝรั่งเศสใบใหม่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 28 องศาเซลเซียสเท่านั้น หลังจากนั้นจะนำองุ่นทั้งหมดที่ผ่านการหมักเรียบร้อยแล้วไปบ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสเช่นเดิม แต่ว่าจะมีการแบ่งเป็นสองถังที่แตกต่างกันแทน โดยองุ่นจำนวน 85% จะถูกนำไปบ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใบใหม่ ส่วนที่เหลือจะถูกนำไปบ่มในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสที่มีการใช้บ่มแล้วเป็นเวลาสองครั้งด้วยกัน
โดยไวน์ชนิดนี้จึงสามารถถ่ายทอดเรื่องราวและลักษณะที่ดีเยี่ยมออกมาได้ดีมาก เนื่องด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นสีของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเป็นสีแดงสดราวกับสีของโกเมน ซึ่งเป็นอัญมณีตัวแทนแห่งสีแดงที่สวยงามไม่ต่างจากทับทิม รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่ค่อนข้างเต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด ซึ่งกลิ่นที่ค่อนข้างโดดเด่นออกมา คือ ผลของราสเบอร์รี่ ผลเคอร์แรนสีแดง และผลของสตรอเบอร์รี่ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างดี รวมถึงรสชาติของไวน์ที่ค่อนข้างเบาบางแต่ก็มีความเปรี้ยวเจือจางเล็กน้อยจากสารแทนนิน บวกกันกับเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างติดลิ้นอย่างยาวนานกับการแทรกตัวของรสชาติจากชะเอมเทศ มะกอกดำและผลเคอร์แรนสีดำก็ช่วยเสริมความอร่อยให้กับไวน์ชนิดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่น่าแนะนำให้กับผู้ที่ชื่นชอบในการรับประทานไวน์ผลไม้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบุคคลที่ชื่นชอบในผลของราสเบอร์รี่ ผลเคอร์แรนและผลของสตรอเบอร์รี่ก็มักจะติดใจกับไวน์ชนิดนี้เป็นพิเศษ ซึ่งไวน์ชนิดนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ดและอาหารจานเดียวเช่น พาสต้า ก็เหมาะสมเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 15% ซึ่งนับได้ว่าค่อนข้างสูงอยู่เมื่อเทียบกับไวน์ทั่วไป
Clos Apalta XX
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Promontory นับได้ว่าเป็น Napa Valley Red Wine และ เจ้าของ Bill Harlan ได้ค้นพบทรัพย์สินที่มีเอกลักษณ์เป็นครั้งแรกซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง Oakville และ Yountville ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ขณะเดินป่าบนเส้นทางสันเขาในเทือกเขา Mayacamas ภูเขาเหล่านี้เป็นภูเขาที่ก่อตัวทางด้านตะวันตกของ Napa Valley และเป็นที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์อีกสองแห่งของเขาคือ Harlan Estate และ BOND ไร่องุ่นถูกปลูกครั้งแรกที่นี่ในปี 1980 โดยมีการปลูกเพิ่มเติมในกลางปี 1990 ภายใต้การดูแลของ Girard Winery จากนั้น Bill Harlan ซื้อไร่องุ่นในปี 2008 และในปี 2010 ได้ซื้อที่ดินอีกส่วนหนึ่งโดยรวมแล้วมีพื้นที่ไม่ถึง 900 เอเคอร์
หลังจากได้มาซึ่งทรัพย์สินในปี Promontory 2008 พวกเขาก็ทำไวน์ในปีต่อมา อย่างไรก็ตามในขณะที่ยังคงเรียนรู้ความแตกต่างของสถานที่ให้บริการและยังไม่ได้จัดการไร่องุ่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มพวกเขาเลือกที่จะไม่ปล่อยไวน์ในปีนั้นทันที ดังนั้น Promontory 2009 เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งแรกภายใต้การควบคุมของพวกเขาและถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรก
ไวน์ถูกหมักโดยใช้ยีสต์พื้นเมือง ตามสไตล์ของพวกเขาเหล่านี้นี่จึงจัดได้ว่าเป็นไวน์ที่เหมาะกับอายุอย่างยิ่ง Promontory ซึ่งเป็นไวน์ชนิดแรกที่ “ยังไม่เผยแพร่” ก่อนการเสนอขายครั้งแรกซึ่งเป็นปี 2009 แสดงให้เห็นถึงด้านที่น่าสนใจของไวน์นี้ด้วยกลิ่นของราสเบอร์รี่สีดำ สะระแหน่ ดินร่วนแ ละต้นซีดาร์ที่ดึงดูดใจ แทนนินที่นุ่มและอ่อนนุ่มรองรับผลไม้สีเข้มและเห็ดทรัฟเฟิล ความสมดุลโดยรวมนั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม และมีความเป็นไวน์ Medium-Bodied มากกว่า Full-Bodied ในส่วนของขวดไวน์นี้ยังคงธีมสีน้ำเงินผสมดำซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของไร่องุ่นที่เริ่มแสดงความเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย
Promontory
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Beaux Frères the Beaux Frères Vineyard Pinot Noir ไร่องุ่น Beaux Frères ได้รับการปลูกโดย Mike & Jackie Etzel ตั้งแต่ปี 1987 – 1991 โดยส่วนใหญ่ใช้วิธีการโคลนของ Pommard & Wädenswil บนรากของตัวเอง ไร่องุ่น Beaux Frères ขนาด 24 เอเคอร์แห่งนี้เริ่มต้นด้วยเทคนิคการทำฟาร์มด้วยวิธีการแบบเดิม ๆ แต่หลังจากผ่านมาหลายปีนั้น เมื่อมาถึงในปี 2002 Mike โดยเขาเริ่มสำรวจอุดมคติของการทำฟาร์ม และได้เริ่มทำตามหลักการของชีวพลศาสตร์ เขาพบว่าการหลีกเลี่ยงการสเปรย์เชิงพาณิชย์ที่สนับสนุนยาบำรุงจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับภูมิทัศน์ของเรา ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ทำการหมักปุ๋ยในสถานที่ปลูกถ่ายกิ่งชำของเขาเองและดูแลอย่างดีในการสังเกตและเชื่อมต่อกับเถาวัลย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอายุเถาเฉลี่ยประมาณ 25 ปีนั้นทำให้ไร่องุ่นแห่งนี้มีชีวิตชีวา ดังนั้นไวน์นี้จึงมาจากไร่องุ่นแบบดั้งเดิม โดยมีองค์ประกอบพันธุ์ที่ใช้คือ องุ่นพันธุ์ Pinot Noir
การหมักไวน์ Beaux Frères Vineyard 2018 นั้นจะใช้วิธีการแบบโบราณด้วยการเจาะลงและปั๊มด้วยมือตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งถังจะถูกเทลงในเครื่องกดและไวน์ใหม่จะถูกย้ายไปยังถังไม้โอ๊กฝรั่งเศส เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในถังจะลดลงได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจาก Beaux Freres ไม่ได้ฝึกฝนกระบวนการจัดวางแบบทั่วไปในการถ่ายโอนไวน์จากถังหนึ่งไปยังถังเพื่อเติมอากาศ การขูดเพียงอย่างเดียวจะเกิดขึ้นหลังจาก 10-12 เดือนเมื่อพวกเขาใส่ลงในถังตกตะกอนก่อนบรรจุขวด นี่เป็นครั้งเดียวที่ไวน์สัมผัสกับอากาศและถึงแม้จะมีเพียงเล็กน้อยเพื่อป้องกันกลิ่นบางกลิ่นที่อาจจะเข้ามาได้ด้วยเช่นกันการเก็บไว้ให้มีอายุมากขึ้นในห้องใต้ดินที่เย็นและความจริงที่ว่าไม่มีการเคลื่อนย้ายของไวน์ จนกระทั่งบรรจุขวดส่งผลให้เกิดการสะสมของ CO2 ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการหมักขั้นที่สอง / malolactic ทำหน้าที่เป็นสารกันบูดตามธรรมชาติและโบซ์ฟรีเรสใช้กำมะถันน้อยกว่าผู้ผลิตไวน์ส่วนใหญ่
Beaux Frères Vineyard 2018 นั้นจัดอยู่ในประเภทของไวน์แบบ fuller bodied และเป็นไวน์ที่มีรสชาติที่เข้มข้น และไร่องุ่น Pinot ดั้งเดิมของเขาสามารถเข้าถึงได้ แต่จะเป็นผลดีมากกว่าหากได้ผ่านการรอคอยและความอดทนเป็นเวลาหลายปี ซึ่งไวน์นี้จึงจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่ดีที่สุดของพวกเขาเนื่องจากความสมบูรณืและความบริสุทธิ์ของสเปกตรัมของผลไม้สีแดง สีน้ำเงิน และสีดำที่เรียงกันเป็นแถวและแทบจะไม่มีโอ๊กปรากฏให้เห็นแม้ว่าจะได้รับการดูแลด้วยไม้โอ๊กฝรั่งเศสที่ดีที่สุดถึง 50%
Beaux Frères the Beaux Frères Vineyard Pinot Noir
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Château Haut-Brion Pessac-Léognan (Grand Cru Classé de Graves) เป็นพื้นที่ปลูกไวน์และ Appellation d’Origine Contrôlée ทางตอนเหนือของเขต Graves ของ Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ Pessac-Léognan ยังมีชื่อเสียงเท่าเทียมกันทั้งในเรื่องของไวน์ขาวและแดง ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตไวน์อย่าง Haut-Médoc ที่จัดอยู่ในการจำแนกประเภทว่า Bordeaux Wine ครั้งแรกในปี 1855 Cru Château Haut-Brion ชั้นนำและยังรวมถึง Châteaux ทั้งหมดที่ระบุไว้ใน Graves ในปี 1953/59 การเติบโตแบบแบ่งกลุ่มเหล่านี้คิดเป็นหนึ่งในสามของไวน์ที่ผลิตใน Pessac-Léognanตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาเจ้าของและผู้จัดการของ Haut-Brion ได้หมกมุ่นอยู่กับการสร้างชื่อเสียงในด้านคุณภาพซึ่งถือเป็นการเติบโตครั้งแรกใน 1855 และ Haut-Brion ได้ทำทุกวิถีทางนับตั้งแต่นั้นมาเพื่อรักษาสถานะไว้เพื่อให้สถานะ Grand Cru คงอยู่ต่อไป ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการดูแลที่ดินและส่วนประกอบต่างๆตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาจึงต้องเลือกพันธุ์องุ่นที่เหมาะสมสำหรับแต่ละแปลงและต้องดำเนินการคัดเลือกอย่างไม่หยุดยั้ง
Château Haut-Brion ปี 1989 นี้เป็นไวน์ Pessac-Leognan ในภูมิภาค Graves ของ Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส ไวน์นี้จัดอยู่ในประเภท Savory and Classic Red Wines และเกิดจากการการผสมผสานระหว่างพันธุ์องุ่นหลากหลายสายพันธุ์ 55% cabernet sauvignon, 25% merlot, 20% cabernet franc ซึ่งมักใช้ในการทำไวน์แดงของ Bordeaux ซึ่งถือว่าเป็นไวน์นี้มีความเข้มข้นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นตำนานยุคใหม่เลยทีเดียว และแม้ว่ามันอาจจะเป็น Haut-Brion ที่เข้มข้นที่สุดในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้นั้น แต่ก็มีกลิ่นอายของความเป็น Haut-Brion แบบคลาสสิกด้วยความที่มีกลิ่นหอม อีกทั้งยังน่าประทับใจตั้งแต่กลิ่นดินที่ไหม้เกรียม แร่ธาตุเหลว กราไฟต์ แบล็กเบอร์รี่ และแยมแบล็กเคอร์แรนต์ที่ทาบนขนมปังปิ้ง ไปจนถึงชะเอมและเครื่องเทศ ระดับของผลไม้สารสกัดและกลีเซอรีนในไวน์ที่มีความหนืด มีความเต็มน้ำเต็มเนื้อของไวน์ชนิดนี้ และมีกรดต่ำนี้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะด้วยความสมมาตรที่ยอดเยี่ยมของไวน์ ความบริสุทธิ์ที่หาไม่ได้โดยทั่วไป และความแนบเนียนไรที่ติเป็นจุดเด่นของตำนานยุคใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูหรูหราและยิ่งไปนั้นถือได้ว่าเป็นไวน์ชั้นเลิศ ด้วยความที่มีผลไม้ สารสกัด และกลีเซอรีนจำนวนมากในที่ทำไวน์นี้ค่อนข้างจะมีความหนืดและความเข้มข้น ซึ่งความเป็นกรดต่ำช่วยให้ไวน์มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นและเพิ่มความสมบูรณ์ของไวน์
Château La Mission Haut-Brion Cru Classé de Graves
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Joseph Phelps Insignia การเปิดตัวของ Insignia ปี 1974 ในฤดูใบไม้ผลิปี 1978 เป็นส่วนผสมของ Bordeaux-style ที่เป็นกรรมสิทธิ์ตัวแรกที่ผลิตในแคลิฟอร์เนีย ไวน์หรือเหล้าองุ่นแต่ละชวดนั้นประกอบด้วยองุ่นที่ดีที่สุดจากไร่องุ่น Joseph Phelps Vineyards ซึ่งเป็นผลไม้ที่มาจากทั้งชาวไร่ชาวสวน ซึ่งหลังจากนั้นไร่องุ่นของ Joseph Phelps ได้กลายเป็นโรงกลั่นเหล้าองุ่นแห่งแรกในแคลิฟอร์เนียที่ผลิตการผสมผสานระหว่าง Cabernet Sauvignon, Merlot, Cabernet Franc และ Petit Verdot องุ่นพันธุ์บอร์โดภายใต้ฉลากที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งกล่าวได้ว่านี่เป็นนวัตกรรมใหม่ในเวลานั้น ซึ่งชื่อ Insignia ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของการผลิตที่ดีที่สุดในแต่ละปีของไวน์ และได้กลายเป็นไวน์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของแคลิฟอร์เนีย อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่การผสมผสานอยู่เหนือการกำหนดพันธุ์หรือไร่องุ่นเป็นตัวกำหนดคุณภาพ จะไม่มีการติดตามจนกว่าจะถึงทศวรรษต่อมาโดยไวน์ตัวที่สองอย่าง Opus One และ Insignia ยังคงเป็นมาตรฐานของหมวดหมู่นี้มานานกว่าหนึ่งในสี่ศตวรรษ
Insignia เป็นการผสมผสานระหว่าง Cabernet Sauvignon 78%, Merlot 14%, Petit Verdot 7% และ Malbec 1% องุ่นจากไร่องุ่นแต่ละแห่งจะผ่านการกลั่นในเหล็กกล้าไร้สนิม โดยจะต้องควบคุมอุณหภูมิสัมผัสกับผิวหนังในช่วงเวลาเฉลี่ย 21 วัน หลังจากการหมัก malolactic แล้วส่วนผสมจะถูกรวมเข้าด้วยกันภายใน 6 เดือนของการเก็บเกี่ยวและมีอายุประมาณ 2 ปีในถังไม้โอ๊คฝรั่งเศสใหม่ จากนั้นไวน์จะได้รับการกรองด้วยแสงก่อนบรรจุขวด ที่มาของ Insignia ซึ่งเป็นไวน์จาก Cabernet Sauvignon ที่สร้างขึ้นจากไร่องุ่นของ Joseph Phelps ทั้งหกแห่ง ซึ่งได้แก่ ไร่องุ่น Spring Valley Home Ranch ในเซนต์เฮเลนาไร่องุ่น Banca Dorada บน Rutherford Bench, Las Rocas และไร่องุ่น Barboza ในเขต Stags Leap, ไร่องุ่น Yountville ในเขต Qak Knoll และสุดท้ายไร่องุ่น Suscal ใน South Napa Valley
Insignia เป็นไวน์ที่มีความเข้มข้น ความซับซ้อน และโครงสร้างที่มีความสมดุลที่ดีเยี่ยมของความเป็นกรดที่ได้รับการปรับแต่งอย่างประณีตและแทนนินที่หนาแน่นและนุ่มนวล ส้มเขียวหวาน ชะเอม และเครื่องเทศมีอยู่มากมายอยู่ในปากพร้อมกลิ่นของยูคาลิปตัสและดิน และ 40 ปีหลังจากการเปิดตัวไวน์นั้น Insignia ได้ก็รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นยอดของโลก Insignia 2002 ได้รับรางวัล “Wine of the Year” จากนิตยสาร Wine Spectator ในปี 2005 และในเดือนพฤศจิกายน 2013 โดยนักวิจารณ์ Robert Parker ได้รับความนิยมอย่างสูงว่าในปี 2014 เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของโรงกลั่นไวน์เขาได้ไปเยี่ยมชมถึงที่เพื่อชิมไวน์ Insignia ตั้งแต่ปี 1974-2012 โดยผลออกมาว่าไวน์ที่ได้รับรางวัลนั้น ได้แก่ ไวน์ Insignia ในปี 1991 1997 และ 2002
Joseph Phelps Insignia
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!