Château Malartic Lagravière Grand Cru Classé ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาและถูกผลิตขึ้นมาถายใต้แบรนด์ไวน์ที่มีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในแถบทวีปยุโรปอย่าง Château Malartic Lagravière ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่เมือง Pessac-Leognan ที่เป็นแหล่งใหญ่มากในการส่งออกและการผลิตไวน์แดงที่อยู่ในเมือง Bordeaux ซึ่งเป้นเมืองที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำเทคนิคที่เก่าแก่อย่างเทคนิคการผลิตไวน์แดงอย่างGrand Cru Classé หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Cru Classe de Graves ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในการผลิตไวน์ขาวเป็นสำคัญ แต่ว่าทางผู้ผลิตได้มีการนำมาปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้จากเทคนิคที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 1959 จนถึงเวลาปัจจุบัน โดยทางผู้ผลิตได้มีการนำองุ่นมาใช้ในการผลิตไวน์ชนิดนี้มาถึงสี่สายพันธุ์ด้วยกัน โดยอัตราส่วนในการผลิตไวน์ในครั้งนี้จะมีความแตกต่างกันตามช่วงปีที่มีการผลิตที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันไป ซึ่งสายพันธุ์องุ่นที่ทางผู้ผลิตนั้นได้เลือกสรรมานั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot, Cabernet Sauvignon, Cabernet Franc และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot ซึ่งองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกเก็บเกี่ยวในเวลาที่ค่อนข้างห่างกัน โดยเริ่มต้นจากองุ่นสายพันธุ์ Merlot จะถูกเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือนจนถึงปลายเดือนกันยายน และองุ่นที่เหลือนั้นจะถูกเก็บเกี่ยวในช่วงตลอดทั้งเดือนตุลาคมเท่านั้น เพื่อให้ได้องุ่นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพมากที่สุด และองุ่นทั้งหมดที่ผ่านการเลือกสรรอย่างดีแล้ว จะถูกนำไปบ่มลงในถังไม้สแตนเลสเป็นระยะเวลา 21-23 วัน หลังจากนั้นก็จะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 18 เดือนด้วยกัน
Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1992 ในฐานะไวน์ลำดับที่สองของ Château de Valandraud โดยชื่อ Virginie de Valandraud นี้นั้นได้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อลูกสาวของ Jean–Luc ThunevIn และ Murielle Andraud โดยใช้องุ่นที่ปลูกในไร่เดียวกันและวิธีการผลิตไวน์แบบเดียวกันกับ Château de Valandraud
Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley เป็นโรงงานผลิตไวน์ที่ตั้งอยู่ที่ Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รายล้อมไปด้วยพื้นที่สำหรับปลูกไวน์พรีเมี่ยม Far Niente เป็นเพียงแห่งเดียวที่ใช้ถ้ำในการเก็บไวน์ที่ผ่านการบรรจุลงไปบ่มในถังไม้ โดยในปีค.ศ.1885 Far Niente ได้ก่อตั้งขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของ John Benson อดีตคนงานเหมืองทองในยุคแห่งทองคำที่แคลิฟอร์เนีย ที่มาของชื่อ Far Niente มาจากวลีโรแมนติกในภาษาอิตาลีที่มีความหมายว่า “ปราศจากความกังวล”และชื่อ Far Niente นี้ก็ยังได้ถูกสลักไว้ที่หินที่อยู่บริเวณหน้าอาคารตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 อีกด้วย
ที่ไร่ของ Far Niente นั้นได้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Chardonnay บนพื้นดินมีการระบายน้ำได้ดีจากการผสมดินร่วนและกรวดเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนผสมของดินเถ้าภูเขาไฟที่ช่วยในการเจริญเติบโตของต้นองุ่นและช่วยให้ผลผลิตที่ออกมามีรสชาติของผลไม้เมืองร้อนและกลิ่นที่มีความซับซ้อน โดยการปลูกไร่องุ่นนั้นเริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 ด้วยเวลาที่ลึกซึ้งกว่า 4 ทศวรรษในการผลิตไวน์แดงจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และการรวบรวมองุ่นจากไร่องุ่นชั้นเลิศในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นจาก Rutherford, Stags Leap, Calistoga และ St. Helena ที่ผ่านการคัดเลือกด้วยมืออย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด เพื่อที่จะนำไปผลิตไวน์ที่มีคุณภาพขึ้นมา
ในการบ่มไวน์องุ่นของ Far Niente พวกเขาจะใช้องุ่น 20% ในไร่ต่อปี และบ่มในถังไม้เก็บไว้ในถ้ำของพวกเขาเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี ก่อนที่จะนำไวน์องุ่นออกมาวางจำหน่ายอีกครั้ง โดยแรกเริ่มนั้น John Benson ตั้งใจที่จะเจาะกำแพงด้านทิศตะวันตกของห้องเก็บไวน์ใต้ดินขึ้น แต่ด้วยการเสียชีวิตของเขาการเจาะถ้ำจึงยังไม่ได้เริ่มขึ้น จนเมื่อปีค.ศ.1980 Alf Burtleson ได้จ้างให้มีการขุดถ้ำไวน์ที่มีความลึก 60 ฟุต บริเวณด้านหลังของโรงกลั่นไวน์ที่เป็นหุบเขา ถ้ำไวน์ของ Far Niente Napa Valley จึงถือได้ว่าเป็นถ้ำไวน์แห่งแรกในอเมริกาเหนือ หลังจากนั้นอีก 21 ปี ถ้ำเก็บไวน์ได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ตารางฟุต โดยการใช้อุปกรณ์ขุดแบบเดียวกับเหมืองถ่านในประเทศอังกฤษ สำหรับ Far Niente แล้วนั้นถ้ำเก็บไวน์ไม่ได้เป็นเพียง “สิ่งที่ควรมี” แต่เป็น “สิ่งที่ต้องมี” ด้วยชื่อเสียงในการบ่มไวน์อย่างดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ความพิถีพิถันที่ตรงตามจรรยาบรรณและมารตราฐานในการผลิตไวน์ นอกจากนี้ Dirk Hampson ผู้อำนวยการผลิตไวน์ยังได้กล่าวไว้อีกว่า “ถ้ำมีคุณลักษณะที่ดีในการบ่มไวน์อย่างไม่น่าเชื่อ ที่อาคารบนดินไม่สามารถทำได้”
Dalla Valle Maya นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยเจ้าของแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับไร่องุ่น Dalla Valle ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย Gustav และ Naoko Dalla Valle เมื่อปีค.ศ.1982 ที่บริเวณเนินเขาทางตะวันออกของเมือง Oakville โดยประวัติศาสตร์ของครอบครัว Dalla Valle ได้มีการผลิตไวน์ที่ประเทศบ้านเกิดอย่างอิตาลีมาอย่างยาวนาน ไวน์ชนิดแรกของ Dalla Valle อย่าง Dalla Valle Cabernet Sauvignon นั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ.1986 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาได้ก่อตั้งโรงงานผลิตไวน์ขึ้น
โดยไร่องุ่น Dalla Valle มีพื้นที่ 25 เอเคอร์หรือประมาณ 63.25 ไร่ ได้มีการแบ่งพื้นที่ปลูกต้นองุ่นสายพันธุ์หลักคือสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และสายพันธุ์ Cabernet Franc สำหรับองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot ก็ได้มีการปลูกอยู่ในบริเวณเล็กๆ ที่ไร่แห่งนี้เช่นเดียวกัน ด้วยดินในบริเวณไร่มีส่วนผสมของดินภูเขาไฟทำให้สภาพพื้นดินของไร่แห่งนี้เหมาะสมอย่างมากแก่การเพาะปลูกไวน์ระดับพรีเมี่ยม พวกเขาเริ่มปลูกองุ่นด้วยวิธีออแกนิคในปีค.ศ. 2007 และค่อยๆเปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคแทนปีค.ศ. 2017 ด้วยวิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคนี้จะช่วยรักษาสุขภาพของต้นองุ่น และยังช่วยยืดอายุของต้นองุ่นให้ยาวขึ้นอีกด้วย
ที่ Dalla Valle จะผลิตเหล้าแชมเปญแดงสามชนิดต่อการเก็บเกี่ยวหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือ เหล้าแชมเปญ Collina Dalla Valle ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.2007 ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ทานได้เพลิดเพลินไปกับความอ่อนเยาว์ของไวน์ชนิดนี้ ด้วยราคาที่จับต้องได้ง่ายมากที่สุดของแบรนด์ Dalla Valle และการผสมผสานที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี ต่อมาคือเหล้าแชมเปญ Dalla Valle Cabernet Sauvignon ซึ่งเป็นไวน์ชนิดแรกของแบรนด์ที่ผลิตตั้งแต่ปีค.ศ.1986 จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือรสชาติที่ชัดเจนและความอ่อนนุ่มภายในปาก ประกอบกับกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่ ผลพลัมสุก กลิ่นของกล่องไม้สนแบบเก่า และแซมด้วยกลิ่นของใบยาสูบ กลิ่นหินที่แห้ง ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ไวน์แดงชนิดที่สามคือเหล้าแชมเปญ Maya ที่ถือได้ว่าเป็นเหล้าแชมเปญระดับเรือธงของแบรนด์เลยที่เดียว โดยไวน์ชนิดนี้ได้ถูกตั้งชื่อตามชื่อของลูกสาว Gustav และ Naoko Dalla Valle ที่ชื่อ Maya ความพิเศษคือไวน์ชนิดนี้จะมีสีแดงเข้ม จากการผสมระหว่างองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Cabernet Franc ในอัตราส่วน 60 ต่อ 40 และมีกลิ่นหอมจากผลไม้สีแดงและผลไม้สีดำ ที่ประกอบไปด้วยเชอร์รี่สีแดง บลูเบอร์รี่ และกลิ่นหอมของอบเชยและโกโก้ที่แทรกมาเพียงเล็กน้อย รสชาติของเหล้าแชมเปญ Maya นี้เมื่อทานแล้วจะได้รสชาติของพลัมและเชอร์รี่สีสีดำอบอวนไปทั่วทั้งปาก ด้วยเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มสวยงามและความแวววับของธรรมชาติ ทำให้เหล้าแชมเปญ Maya ได้รับความนิยมอย่างมาก
Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru ได้ถูกตั้งชื่อตามนักกวีชาวโรมัน Ausonius ผู้ครอบครองพื้นที่ไร่องุ่นมากกว่า 100 เอเคอร์ รอบเมือง Saint Emilion โดยที่ Château Ausone นั้นตั้งอยู่บริเวณเนินเขาทางตอนใต้ของเมือง Saint Emilion โดยมีลักษณะพื้นที่ที่เป็นทางชันและหันไปทางฝั่งทิศใต้ เพื่อป้องกันต้นองุ่นจากลมหนาวทางตอนเหนือ และฝนจากทางฝั่งตะวันออก
La Dame de Montrose เป็นไวน์ลำดับที่สองต่อจาก CHÂTEAU MONTROSE ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยมาตราฐานที่เข้มงวดแบบเดียวกัน โดยผ่านการผสมชนิดของสายพันธุ์องุ่น Merlot ให้มีความอ่อนนุ่มกว่าปกติ จะเห็นได้ชัดจากกลิ่นของผลไม้สีแดงและรสชาติที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้La Dame de Montrose มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และมีโครงสร้างที่ประณีตซับซ้อนน้อยกว่าCHÂTEAU MONTROSE La Dame de Montrose ได้ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1986 เพื่อเป็นเกียรติและสดุดีแก่ Yvonne Charmolue ผู้ที่บริหาร Château Montrose ตั้งแต่ปีค.ศ. 1944 จนถึงปีค.ศ. 1960แต่เพียงผู้เดียว
ไร่องุ่นของ Château Montrose ตั้งอยู่บนหนึ่งในพื้นที่ที่ได้เปรียบที่สุดในการเพาะปลูกไวน์ ด้วยพื้นที่ขนาด 95 เฮกตาร์ หรือประมาณ 593.75 ไร่ ล้อมรอบโรงกลั่นเหล้าองุ่น และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ด้านนอก ทำให้ง่ายต่อการทำงานในไร่ ในไร่องุ่นนี้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นหลัก โดยปลูกทั้งหมด 60% ของพื้นที่ สายพันธุ์ Merlot 32% สายพันธุ์ Cabernet Franc 6% และสายพันธุ์ Petit Verdot อีก 2% โดยที่สายพันธุ์ Cabernet Franc จะเป็นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงและขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอมที่หรูหราที่ส่งผลให้ไวน์ดูสดใหม่และมีความซับซ้อน ในขณะที่สายพันธุ์ Petit Verdot ก็จะช่วยดึงสีของไวน์ออกมา และมีรสชาติที่คล้ายกับเครื่องเทศและพริกไทย
HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru เป็นไวน์แดงจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Château Faugères ที่ได้มีเริ่มมีการผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 ที่เมือง Saint-Émilion ประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ถือได้ว่าเป็นไวน์ลำดับที่สองของแบรนด์ Château Faugères เลยทีเดียว
ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES เป็นการผสมผสานระหว่างผลองุ่นจาก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Merlot 85% สายพันธุ์ Cabernet Franc 10% และสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% ในการขั้นตอนการหมักไวน์นั้นก็จะเหมือนกับการหมักไวน์ตัวหลักของ Château Faugères ยกเว้นแต่จะในการหมักไวน์ HAUT FAUGÈRES จะใช้ผลองุ่นที่อ่อนกว่า แต่ความแตกต่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพและศักยภาพของไวน์ลดลงไปแต่อย่างใด ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ก็ยังได้รับการแบ่งประเภทให้อยู่ในกลุ่มของ Saint Emilion Grand Cru
HAUT FAUGÈRES เป็นไวน์ที่มีรสชาติที่คลาสสิกและกลมกล่อม ผสมผสานไปกับกลิ่นหอมของผลไม้ที่สุกเต็มที่ อีกทั้งยังมีกลิ่นของไม้โอ๊กอันเป็นเอกลักษณ์เจืออยู่ด้วย โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12.5% ถึง 14.5% ซึ่งถือได้ว่าเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก
ด้วยลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวไปของไวน์ HAUT FAUGÈRES ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุกและรสชาติที่กลมกล่อม ทำให้ไวน์ HAUT FAUGÈRES นั้นเหมาะสมกับการทานร่วมกับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง หรือ เนื้อสัตว์ปีกอย่าง ไก่ เป็ด และไก่งวง เป็นต้น