Château La Fleur-Pétrus Pomerol จัดเป็นไวน์แดงสไตล์บอร์โดที่ผลิตเมืองบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส ประกอบด้วยองุ่นสามสายพันธุ์ได้แก่ Merlot Cabernet Franc และที่ Petit Verdot ในส่วนขององุ่นสายพันธุ์ Merlot จะให้ความนุ่มนวลและความอ่อนนุ่มแก่ไวน์ ส่วน Cabernet Franc เป็นองุ่นที่สุกเร็ว และมี tannin ที่ elegant อยู่ในระดับที่ดี ไม่มาก ไม่น้อย มีสีเข้มปานกลาง ตัวไวน์ให้ acidity ที่ fresh มี aromas ที่ อีกทั้งยังช่วยให้เก็บไวน์ไว้ได้นาน ในขณะที่ Petit Verdot เปอร์เซ็นต์เล็กๆที่ใช้ผสม เนื่องจากเป็นองุ่นที่สุกช้า และเมื่อนำไปผสมในไวน์ จะให้สีที่เข้มมาก และแทนนินที่เข้มมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นที่ ค่อนชัด ซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นดอกไวโอเลต และให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศในตอนท้าย จึงจัดได้ว่า Château La Fleur-Pétrus เป็นไวน์ที่มีโครงสร้างที่สมดุล ดื่มแล้วนุ่มนวล กลมกล่อม มีพลัง และความสง่างามเป็นเอกลักษณ์
Château La Fleur-Pétrus เป็นหนึ่งในไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Pomerol ซึ่งที่ดินเก่าแก่แห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโดยเฉพาะ และได้รับการตั้งชื่อสำหรับตำแหน่งในพื้นที่เป็น ‘Petrus’ และ ‘La Fleur’ ในช่วงศตวรรษที่ หลังจากก่อตั้งขึ้นในเมือง Libourne ตั้งแต่ปี 1937 Jean-Pierre Moueix ได้เล็งเห็นถึงคุณภาพอันยอดเยี่ยมของชื่อ Pomerol ตั้งแต่ต้น Château La Fleur-Pétrus จึงเป็นเป็นการซื้อกิจการครั้งแรกของเขาในปี 1950 ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ทำการซื้อ Château Trotanoy ในปี 1953
Pomerol เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในบอร์กโดซ์เนื่องจากเป็นเขตเดียวที่ไม่เคยได้รับการจัดอันดับในระบบการจำแนกประเภท เนื่องจากการจัดอันดับที่ดินเป็นวิธีการทางการตลาดโดยพื้นฐานเพื่อช่วยนายหน้าค้าไวน์ ดังนั้นการจัดอันดับพื้นที่ที่ของกลุ่มคนที่ทำธุรกิจเล็กๆนั้นจึงไม่ได้รับความสนใจ ทำให้ Pomerol ไม่ได้รับความสนใจมากนักจากชุมชนไวน์นานาชาติจนกระทั่งทศวรรษ1960 เมื่อ Jean-Pierre Moueix พ่อค้าไวน์ที่เป็นผู้ประกอบการ เริ่มซื้อที่ดินที่ดีที่สุดของ Pomerol และส่งออกไวน์ทุกวันนี้ ครอบครัว Moueix ที่ทรงอิทธิพลเป็นเจ้าของที่ดิน Chateau Pétrus ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Pomerol พร้อมด้วยที่ดิน Pomerol ส่วนอื่นๆอีกมากมาย ไวน์ Pomerol ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Merlot ผสมกับ Cabernet Franc และ Cabernet Sauvignon จำนวนเล็กน้อยทำให้มีความนุ่มละมุนกว่าและมีแทนนิกน้อยกว่าบอร์โดซ์ฝั่งซ้าย
Château La Fleur-Pétrus Pomerol
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Le Macchiole Messorio เป็นไวน์แดง ผลิตขึ้นโดยใช้องุ่น Merlot เป็นสีน้ำเงินเข้ม จัดเป็นองุ่นที่สุกเร็วและเป็นอีกหนึ่งในพันธุ์หลักที่ใช้ในบอร์โดซ์ องุ่น Merlot นั้นถูกปลูกในรูปแบบสากล ซึ่งจะเก็บเกี่ยวในภายหลังเพื่อดึงเอาแทนนินและบอดี้ของไวน์ออกมามากขึ้นเพื่อความเข้มข้นของไวน์ Messorio ปี 2007 จัดได้ว่าเป็นอีกรุ่นที่โดดเด่น ในด้านของสัมผัสของผลไม้ที่สุกเต็มที่สมดุลกับโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน โดยมีกลิ่นของมอคคา กราไฟต์ ไม้โอ๊กฝรั่งเศส ชะเอมเทศ เป็นไวน์แดงที่เข้มข้นแต่ผสมความอ่อนโยนด้วยรสเชอร์รี่สีดำหวาน ประกอบกับแทนนินที่นุ่มเนียนและความเป็นกรดที่กลมกลืนกัน
Le Macchiole ผู้ผลิต Le Macchiole Messorio 2007 ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Bolgheri ของ Tuscany ที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์แดง IGT Toscana สามสายพันธุ์ Paleo, Messorio และ Scrio มักถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของประเภทที่ผลิตในอิตาลี
ซึ่งได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1983 โดยคู่รักหนุ่มสาว Eugenio Campolmi และ Cinzia Merli พวกเขาเปิดตัววินเทจครั้งแรกในปี 1987 โดยมีการเปิดตัวครั้งแรกของไวน์เรือธง Paleo ที่เปิดตัวในปี 1989 ในขณะนั้น Paleo เป็นส่วนผสมของบอร์โดซ์ แต่ในปี 1990 La Macchiole เริ่มก้าวไปสู่การผลิตไวน์ที่หลากหลายมากขึ้น โดย Paleo เริ่มต้นผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1989 ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 16 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน ในส่วนของไวน์สายพันธุ์ Messorio ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1994 โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน
Le Macchiole Messorio
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Chateau d’yquem Lur Saluces นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1855 Chateau d’Yquem ความพิเศษของไวน์ที่ถูกผลิตและเผยออกมาอย่างต่อเนื่องช่วยทำให้เป็นการสร้างมาตรฐานที่ดีสำหรับความเป็นเลิศในไวน์นี้ ไม่เหมือนไวน์อื่นใดในโลก รวมไปถึงการใช้ทั้งองุ่น Sauvignon Blanc และ Semillon อันเป็นพันธุ์องุ่นที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ไวน์ Sauternes ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นไวน์หวานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคือ จัดเป็นไวน์ที่มีผู้ค้นหามากที่สุดเลยก็ว่าได้ก็ถูกผลิตจากองุ่นเหล่านี้ออกมาเป็น Château d’Yquem นั่นเอง เป็นไวน์ที่ถูกขนานนามว่าเป็นไวน์ที่แพงและผลิตได้ยากที่สุดในโลกด้วย ในช่วงแรกของการเปิดตัว Chateau Yquem 1998 ไม่อนุญาตให้ชิมจากถัง และจะไม่ปล่อยออกมาจนกว่าจะครบห้าปีหลังจากปีเก็บเกี่ยวขององุ่นที่ใช้นำมาทำไวน์ Chateau Yquem 1998 ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังเช่นปี 1990, 1989 และ 1988 ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี มีกลิ่นหอมหวานของครีมบรูเล่ สับปะรด แอปริคอท และดอกไม้
สีของไวน์ในแก้วเป็นสีทองอ่อน ประกอบกับกลิ่นที่ชัดเจนของผลไม้สุก ได้แก่ พลัม แอปริคอท มะม่วง และผลไม้แห้งอย่างผลมะเดื่อ ลูกเกด ควินซ์ ตามด้วยกลิ่นผลไม้สีขาวหลากหลายชนิดดด้วยกัน ในส่วนของรสสัมผัสต่างๆภายในปากหลังจากชิมไวน์นั้น จะได้รับรู้ถึงความนุ่มนวลและโครงสร้างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไวน์นี้จะนำพาไปสู่ความสุขอันของรสชาติเข้มข้น ที่ซึ่งทุกอย่างได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว มีความกลมกลืน หรูหรา และความประณีตพร้อมๆ กัน
Château d’Yquem เป็นไวน์ Premier Cru Supérieur จาก Sauternes ภูมิภาค Gironde ทางตอนใต้ของไร่องุ่นบอร์โดซ์ที่รู้จักกันในชื่อ Graves ในการจำแนกไวน์บอร์กโดซ์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1855 Château d’Yquem เป็นไวน์เพียงแห่งเดียวที่ได้รับการจัดอันดับนี้ ซึ่งแสดงถึงการรับรู้ถึงความเหนือกว่าและราคาที่สูงกว่าไวน์ประเภทอื่นๆ ทั้งหมด ความสำเร็จของ Yquem ส่วนใหญ่เกิดจากวิธีการผลิตที่ เรียกว่า เน่าแบบผู้ดี หรือ Noble rot วิธีนี้ต้องมีตัวช่วย เป็นเชื้อราชื่อ Botrytis cinerea มีอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น เมื่อองุ่นสุกเชื้อราจะเกาะดูดน้ำจากลูกองุ่น จนเหลือแค่ผลองุ่นเหี่ยวแห้งกับน้ำตาลธรรมชาติเข้มข้น เอามาทำไวน์จะได้สุดยอดไวน์ รสหวานจัด กลิ่นหอม ราคาแพง ไวน์จาก Château d’Yquem มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยความซับซ้อน ความเข้มข้น และความหวาน ซึ่งสมดุลกันด้วยความเป็นกรดที่ค่อนข้างสูง ด้วยความระมัดระวังพอสมควรทำให้ขวดหนึ่งขวดจะเก็บรักษาไว้ได้นานนับศตวรรษหรือมากกว่า และรสหวือหวาของผลไม้จะค่อยๆ จางลงและผสานเข้ากับรสชาติต่างๆมากมายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
Chateau d’yquem Lur Saluces
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Yarden Viognier นั้นมาจากโรงกลั่นไวน์ Golan Heights ซึ่งทำจากองุ่น Viognier ที่ปลูกใน Odem Vineyard เป็นองุ่นพันธุ์แท้สำหรับผลิตไวน์ขาวที่ที่มีคุณภาพและมีรสชาติที่ซับซ้อน สีของไวน์ในแก้วไวน์นั้นจะส่องแสงเป็นสีเหลืองทองสดใสพร้อมเฉดสีระยิบระยับ ประกอบไปด้วยกลิ่นหอมที่ซับซ้อนของไวน์ บูเฆ่ของน้ำไวน์ที่เข้มข้นบ่งบอกถึงกลิ่นของพีช แอปริคอท ลูกแพร มะนาว ส้มแมนดาริน แตงโม และอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้สด เครื่องเทศและไม้โอ๊กฝรั่งเศส ในส่วนของรสสัมผัสต่างๆภายในปากหลังจากชิมไวน์นั้น ไวน์ขาวนี้มีความเข้มข้นระดับมีเดียมบอดี้(Medium-body) ซึ่งมีซับซ้อนของกลิ่นหอมที่ชวนให้หลงไหล เพื่อความดื่มด่ำและเพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร อาหารที่แนะนำควบคู่กับการดื่นไวน์ขาวจากไร่องุ่น Golan Heights ได้แก่ แกงไก่ครีม ไก่ในซอสแอปริคอตชั้นดี หรือกับชีสนุ่มๆ ทุกชนิด
ในส่วนของกระบวนการผลิตไวน์ของ Golan Heights ผลิตจากไร่องุ่นสำหรับองุ่น Viognier ตั้งอยู่ทางเหนือของที่ราบสูงโกลัน ซึ่งเป็นไร่องุ่นไวน์ที่สูงที่สุดในอิสราเอล ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร (ใกล้ถึง 4,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล เมื่อองุ่นถูกส่งมาถึงห้องเก็บไวน์ Golan Heights Winery แล้วองุ่นจะค่อยๆถูกบีบ และหมักในถังสแตนเลส (50%) และในถังไม้โอ๊คฝรั่งเศส (50%) ครึ่งหนึ่งถูกทิ้งไว้ในถังไม้โอ๊กเพื่อการบ่มและมีอายุ 4 เดือน การผสมผสานนี้ทำให้ไวน์มีความเข้มข้นและมีกลิ่นหอม
Golan Heights Winery ผู้ผลิต Yarden Viognier 2011 เป็นผู้ผลิตไวน์ของอิสราเอลที่ตั้งอยู่ในนิคม Katzrin ในกาลิลี มีไวน์หลากหลายประเภท ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือ Yarden นั่นเอง Yarden ผลิตจากองุ่นที่คัดสรรจากไร่องุ่นที่ดีที่สุด ไวน์ขาวและไวน์แดงผลิตขึ้นภายใต้ฉลากของ Gamla, Gilgal และ Hermon โดยจะออกไวน์แดงสามชนิดทุกวันในชื่อ Sion และ Golan โรงกลั่นเหล้าองุ่นเป็นสหกรณ์ และสมาชิก 15 รายเป็นเจ้าของไร่องุ่น 28 แห่งในหลายพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 600 เฮกตาร์ (1500เอเคอร์) ทั้งหมดนี้ถูกแบ่งออกเป็น 400 บล็อกเพิ่มเติมซึ่งทำฟาร์มและทำองุ่นแยกจากกัน และจากความสูง ภูมิประเทศ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และดินที่หลากหลายทำให้มีตัวเลือกการผสมที่หลากหลายจากผืนดินที่แตกต่างกัน เป็นเหตุให้องุ่นที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์คลาสสิกของฝรั่งเศส นอกเหนือจากนั้น Golan Heights Winery ยังส่งออกไวน์ไปกว่า 30 ประเทศและได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมายดังเช่นYarden Cabernet Sauvignon ไวน์ในปี 2547 เป็นไวน์ของอิสราเอลรายแรกที่มีรายชื่อไวน์ 100 อันดับแรกของ Wine Spectator และในปี 2012 ก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น New World Winery of the Year จากนิตยสาร Wine Enthusiast อีกด้วย
Yarden Viognier
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงผู้ผลิตไวน์Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud อย่าง Henry Frédéric Roch ผู้เป็นผู้อำนวยการร่วมและเจ้าของร่วมของไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเบอร์กันดี นั่นคือ Domaine de la Romanée Conti เป็นที่น่าสนใจที่เขาได้รับงานนี้หลังจากที่ได้ก่อตั้งโรงกลั่นเหล้าองุ่นของตัวเองขึ้นในทศวรรษ1980 เรื่องราวของไร่องุ่นเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับตระกูลผู้ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงในตำนานอย่าง Henry-Frédéric Roch ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของ Lalou Bize-Leroy หนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่สุดของ Burgundy และ Roch ซึ่ง Domaine Prieuré Roch แห่งนี้ได้กลายเป็นที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในแคว้น Côte de Nuits ในเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส
พื้นที่กว่า 11 เฮกตาร์ของ Domaine Prieuré Roch ได้ถูกใช้ในการทำการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน ซึ่งผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำสำหรับเบอร์กันดี นั้นเนื่องมาจากการพยายามรักษาลักษณะตามธรรมชาติขององุ่น ในส่วนของห้องเก็บไวน์ ไวน์แทบไม่ถูกแตะต้อง และบรรจุขวดแบบไม่กลั่น ไม่กรอง และไม่มีการเติมกำมะถัน ซึ่งวิธีการที่เป็นธรรมชาติมากที่ใช้ในการผลิตไวน์นี้ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ออกมาเป็นไวน์ที่บริสุทธิ์ สะอาดและสดใหม่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะในด้านของกลิ่นที่หอมของไวน์
Le Cloud เป็นไวน์เบอร์กันดี Pinot Noir รสละมุนแห่งแคว้น Côte de Nuits ในฝรั่งเศส ที่มีไร่องุ่นระดับ Grand Cru ซึ่งผลิตมาจาก Pinot Noir อันเป็นองุ่นที่ใช้ทำไวน์แดงที่ได้รับความนิยมมากในการผลิตไวน์แดง ซึ่งเป็นองุ่นที่ชอบสภาพอากาศที่เย็น Le Cloud นั้นจัดเป็นไวน์แดงแบบไลท์บอดี้ (Light Body Red Wine) ซึ่งไวน์แบบไลท์บอดี้นั้นสามารถจับคู่กับอาหารได้หลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นผัก, เนื้อไก่ หรือเป็ดย่าง
Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Joseph Phelps Cabernet Sauvignon นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งตรงมาจากทวีปอเมริกาเหนือที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาหรือถูกผลิตขึ้นโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Joseph Phelps Vineyards ที่เป็นแบรนด์ไวน์ชื่อดังที่เป็นแบรนด์ไวน์ขนาดใหญ่ที่มีความโดดเด่นและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเองเหนือผู้ผลิตในแถบพื้นที่เดียวกัน โดยแบรนด์ไวน์นี้เป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนที่มีการเลื่องลือในด้านการผลิตไวน์แดงต้นตำรับมาเป็นเวลายาวนานอย่าง Napa Valley ที่อยู่ทางด้านชายฝั่งทางตอนเหนือของเมือง San Francisco ของมลรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตและขั้นตอนในการสร้างไวน์ชนิดนี้ที่ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการใช้สายพันธุ์องุ่นที่หลากหลาย มีอัตราส่วนการผลิตที่ชัดเจนและมีประเภทของถังไม้ที่ใช้ในการหมักที่ค่อนข้างมากกว่าไวน์แดงชนิดอื่นๆ เริ่มต้นจากการคัดเลือกสายพันธุ์องุ่นที่ทางผู้ผลิตได้มีการเลือกสรรมาใช้นั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 97%, Cabernet Franc 2% และองุ่นสายพันธุ์ Malbec อีก 1% ด้วยกัน โดยองุ่นที่เลือกใช้ในการผลิตไวน์ในครั้งนี้ล้วนเก็บเกี่ยวมาจากไร่องุ่น Napa Valley ที่อยู่ในเมืองที่มีชื่อว่า St. Helena ทางด้านตอนใต้ของเมือง Napa Valley ในเขตการปกครอง Oak Knoll ซึ่งองุ่นทั้งหมดที่ทางผู้ผลิตได้ทำการคัดเลือกผลที่ดีที่สุดมาแล้วนั้นจะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กใบใหม่แบบผสมผสานสายพันธุ์ ด้วยจำนวน 49% นั้นจะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กใบใหม่สายพันธุ์ฝรั่งเศสและอัตราส่วนที่เหลืออีก 51% ทางผู้ผลิตจะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กใบใหม่สายพันธุ์อเมริกันชั้นเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งการหมักในถังไม้โอ๊กเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ 40% ของจำนวนองุ่นทั้งหมด ส่วนจำนวนองุ่นอีก 60% จะนำลงไปหมักลงในถังไม้บาร์เรลทั้งแบบสายพันธุ์อเมริกันกับฝรั่งเศสที่มีอายุของไม้อยู่ที่ประมาณ 1-3 ปีด้วยกัน
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีโครงสร้างและเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างน่าประทับใจใครหลายคนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเนื้อสัมผัส กลิ่นและรสชาติของไวน์ที่ค่อนข้างมีความเข้มข้นและมีโครงสร้างขององค์ประกอบชัดเจนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเนื้อสัมผัสของไวน์ที่เต็มไปด้วยสีแดงเข้มงดงาม อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่ค่อนข้างหอมและเต็มไปด้วยกลิ่นของผลไม้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลเบอร์รี่สีดำ ลูกพรุนและผลเชอร์รี่สีดำที่ผสานกันกับกลิ่นของช็อกโกแลต เมล็ดกาแฟเอสเปรสโซ่และชะเอมเทศ นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างเข้มข้นและสมดุลกันอย่างดี
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีรสชาติและกลิ่นของไวน์ที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องด้วยกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่เต็มไปด้วยผลไม้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลเบอร์รี่สีดำ ลูกพรุนและผลเชอร์รี่สีดำที่เข้ากันได้ดีกับช็อกโกแลต เมล็ดกาแฟเอสเปรสโซ่อย่างดีและชะเอมเทศที่ทำให้เนื้อสัมผัสของไวน์มีความสมดุลและลงตัวอย่างดี ซึ่งนับได้ว่าเป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานไวน์ชนิดนี้ควบคู่กับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อเป็ดกับเนื้อไก่ และชีสทั้งแบบผสมและแบบเข้มข้น นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณของแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.5% ซึ่งนับได้ว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับไวน์ทั่วไป
Joseph Phelps Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Chilena Byn 7 Gran Reserva Cabernet Sauvignon นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่มีความนิยมและถูกกล่าวถึงอย่างมากในวงกว้าง โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์แดงที่ถูกผลิตขึ้นมาและถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังและมีขนาดใหญ่มากที่สุดอย่าง Maule Velley ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนในการผลิตไวน์ระดับโลกอย่าง Maipo Valley ในบริเวณใจกลางเมือง Central Valley ของประเทศชิลี โดยแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ยังถือได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีพื้นที่ในการเพาะปลูกองุ่นและโรงกลั่นไวน์เป็นของตัวเองอีกด้วยเช่นเดียวกัน
โดยไวน์ชนิดนี้ยังถือได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีกระบวนการผลิตและขั้นตอนที่ค่อนข้างไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ทางผู้ผลิตได้เลือกใช้องุ่นเพียงแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้นในการผลิตด้วยกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon แท้ 100% ซึ่งนับได้ว่าเป็นสายพันธุ์องุ่นยอดนิยมที่มีความนิยมในการผลิตไวน์แดง โดยเฉพาะองุ่นในกลุ่มสไตล์ Bordeaux ที่ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมการผลิตไวน์จากประเทศฝรั่งเศสด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นเพียงแค่แหล่งเพาะปลูกเดียวมาใช้ นั้นคือไร่องุ่นของแบรนด์ไวน์นี้ที่มีพื้นที่มากกว่า 75,000 เอเคอร์หรือประมาณ 30,000 เฮกตาร์
ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีมนต์เสน่ห์เป็นที่ดึงดูดอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะภายนอกที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในด้านเนื้อสัมผัส กลิ่นและรสชาติอย่างดี เริ่มต้นด้วยสีของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม เป็นสีแดงสดราวกับสีแดงเข้มของทับทิมที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเหนียวอย่างดี อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นที่ค่อนข้างเข้มข้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของผลไม้ผลเบอร์รี่สีดำและแดงที่ผสานกันกับเครื่องเทศหลากหลายชนิดและวานิลลา รวมทั้งยังมีกลิ่นที่เผ็ดฉุนของพริกไทยดำ ต้นโอ๊ก แก่นไม้ ลูกสนและใบมิ้นท์ที่ผสานตัวกันได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดีและเต็มไปด้วยรสชาติของน้ำผลไม้ที่มีความสมดุลและความร่วมสมัยเป็นอย่างดีอีกด้วย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ลงตัวสมดุล ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของไวน์ที่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งกลิ่นและรสชาติของผลเบอร์รี่ทั้งสีดำและสีแดง วานิลลา เครื่องเทศหลากหลายชนิด โดยเฉพาะพริกไทยดำอย่างดีและใบมิ้นท์อย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานไวน์ชนิดนี้ควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อแกะ และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อเป็ดกับเนื้อไก่ อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14% ซึ่งนับว่าเป็นระดับมาตรฐานทั่วไปของไวน์แดง
Chilena Byn 7 Grand Reserva Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Ornellaia 25 นับได้ว่าเป็นไวน์ชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งตรงมาจากแบรนด์ไวน์ชื่อดังที่มีความสามารถในการผลิตไวน์แดงชั้นเยี่ยมอย่าง Ornellaia ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตไวน์อยู่ที่บริเวณ Bolgheri ที่อยู่ทางด้านชายฝั่งในเมือง Turcany ซึ่งนับได้ว่าเป็นเมืองระดับแถวหน้าของประเทศอิตาลีที่มีการผลิตและการส่งออกไวน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและราคาแพงมากที่สุด ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่เน้นการผลิตไวน์สไตล์ Bordeaux ที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศสเป็นหลัก
ซึ่งไวน์แดงชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีกระบวนการผลิตไวน์ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนและละเอียดอยู่พอสมควร เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่นำองุ่นหลากหลายสายพันธุ์มาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตด้วยอัตราส่วนที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดนสายพันธุ์องุ่นและอัตราส่วนที่ทางผู้ผลิตได้เลือกสรรมาใช้สำหรับไวน์ชนิดนี้ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 53%, Merlot 39%, Cabernet Franc และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot อีก 4% ด้วยกัน โดยองุ่นทั้งหมดที่ทางผู้ผลิตนั้นได้เก็บเกี่ยวและคัดเลือกมาแล้วนั้นจะนำไปหมักลงในถังไม้ในหลากหลายขั้นตอนด้วยกัน โดยเริ่มแรกจะนำไปหมักลงในถังไม้บาร์เรลที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นระยะเวลา 18 เดือนด้วยกัน หลังจากนั้นก็จะเริ่มทำการหมักและบ่มหลังจากที่การหมักแบบควบคุมอุณหภูมิในขั้นตอนแรกผ่านไปแล้ว 12 เดือนด้วยกัน โดยการบ่มนั้นจะมีการนำออกมาเพียงแค่บางส่วนในแต่ละครั้งเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็จะนำกลับไปไว้ในถังดังเดิม ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆจนครบทุกส่วน หลังจากนั้นก็จะมีการหมักเพิ่มหลังจากที่มีการบรรจุขวดแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 12 เดือนด้วยกัน ถึงจะนำไปจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่ามีความพิเศษอย่างที่หาตัวจับได้ยาก สมกับเป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 25 ปีของแบรนด์ไวน์นี้ในช่วงปี 2010 นั่นเอง ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นในลักษณะภายนอกและเนื้อสัมผัสอย่างยิ่ง เริ่มต้นด้วยสีของเนื้อสัมผัสของไวน์ชนิดนี้ที่เป็นสีแดงเข้มข้นราวกับสีของทับทิมสวยงาม อีกทั้งยังมีกลิ่นที่ค่อนข้างมีโครงสร้างที่ชัดเจน รวมทั้งยังมีความเข้มที่ค่อนข้างสูงและเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของผลไม้อย่างดีมาก โดยเฉพาะผลไม้สุกอย่างดีและผลไม้สดที่ให้ความมีกลิ่นที่มีชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลิ่นเครื่องเทศและกลิ่นเครื่องปรุงรสของอิตาลีอย่าง บัลซามิค (Balsamic) และยังเป็นไวน์ที่มีรสชาติที่ค่อนข้างแน่นในเนื้อสัมผัสและมีความเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดีเยี่ยม ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังมีความเปรี้ยวเล็กน้อยของสารแทนนินอย่างดีอีกด้วย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของไวน์อิตาลีชั้นเยี่ยมอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไวน์ที่มีกลิ่นของผลไม้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีกลิ่นและรสชาติที่เป็นโครงสร้างอย่างชัดเจนและมีความเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดี ซึ่งนับได้ว่าเป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อแกะ เครื่องในสัตว์และอาหารจานเดียวอย่างพาสต้า นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.5% ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับไวน์ทั่วไป
Ornellaia 25
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Revana Napa Valley Cabernet Sauvignon นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ชื่นชอบในการดื่มด่ำกับไวน์ชั้นเลิศ โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังที่ได้รับการขนานนามจากหลากหลายนักดื่มว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในพื้นที่การผลิตนั้นอย่าง Revana ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่ล้วนแต่ผลิตผลงานไวน์ชั้นเยี่ยมมาเป็นจำนวนมาก โดยใช้ถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนเมือง Napa Valley อันโด่งดังด้านการผลิตไวน์แนวหน้าของโลก ที่อยู่ในเขตการปกครอง Napa ที่อยู่บริเวณทางด้านชายหาดตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ยอดเยี่ยมและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง เนื่องด้วยทางผู้ผลิตได้มีการคัดเลือกวัตถุดิบที่ใช้ โดยการนำองุ่นที่มีการเพาะปลูกในไร่องุ่นที่อยู่ในคฤหาสน์เท่านั้น โดยพื้นที่ในการปลูกองุ่นของสถานที่แห่งนี้ก็นับได้ว่าใหญ่โตกว้างขวางกว่า 8.2 เอเคอร์ด้วยกัน และทางผู้ผลิตนั้นมีการตัดสินใจเลือกใช้องุ่นชั้นเยี่ยมที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษอย่างCabernet Sauvignon. แท้ 100% ที่ความนิยมเป็นระดับโลกมาใช้ในการผลิตในครั้งนี้
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะรูปร่างภายนอกและสัมผัสที่น่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก ไม่ว่ากลิ่น สีของเนื้อสัมผัส และรสชาติของไวน์ล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดไม่แพ้กัน โดยเริ่มแรกจากสีของเนื้อสัมผัสของไวน์ที่มีสีแดงเข้มราวกันกับสีแดงโกเมนหรือสีทับทิม อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเข้มข้นและมีความเปรี้ยวเล็กน้อยจากสารแทนนินอีกด้วย ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีความแห้งของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างชัดเจนและมีความเบาบางและนุ่มนวลอย่างดี นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นอายและรสสัมผัสของวานิลลา ต้นโอ๊ก ลูกสน และผลไม้สีดำหลากหลายชนิด ทั้งผลเคอร์แรนสีดำและผลเบอร์รี่สีดำ โดยรสชาติและกลิ่นอายเหล่านี้จะถ่ายทอดความหวานหอมเข้ามาที่จะมีเหล่าเครื่องเทศมาผสานกันเผื่อตัดความหวานเลี่ยนที่อาจจะเกิดขึ้นและทำให้ไวน์ชนิดนี้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น โดยเครื่องเทศที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ คือ ชะเอมเทศ พริกไทยและอบเชย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นอายและที่ให้บรรยากาศความหวานหอมและความเผ็ดร้อนจางๆได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นและรสชาติของผลไม้สีดำหลากหลายชนิดด้วยกัน ที่ผสานกันกับเครื่องเทศ เช่น ชะเอมเทศ พริกไทยและอบเชยอย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำไวน์ชนิดนี้ไปรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่กับเนื้อเป็ดและชีสทั้งแบบชีสผสมและแบบเข้มข้น นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.7% เพียงเท่านั้น
Revana Napa Valley Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Mollydooker Carnival of Love Shiraz McLaren Vale นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Mollydooker ที่นับได้ว่าเป็นอาคารและคฤหาสน์เก่าแก่ของครอบครัวพื้นเมืองในย่านชุมชนการผลิตไวน์ชื่อดังอย่าง McLaren Vale ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ในสถานที่เดียวกันกับคฤหาสน์ที่มีไร่องุ่นเป็นของตัวเอง ซึ่งย่านชุมชน McLaren Vale นั้นจะอยู่ทางด้านเขตการปกครองของออสเตรเลียใต้ในประเทศออสเตรเลีย
โดยไวน์ชนิดนี้จะเป็นการนำวัฒนธรรมการผลิตของแบรนด์ไวน์มาใช้ ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้จะมีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ด้วยองุ่นเพียงแค่สองสายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon แต่ว่าทางผู้ผลิตนั้นได้มีการคัดเลือกและตัดสินใจที่จะใช้องุ่นสายพันธุ์Syrah หรือที่ใครหลายคนเรียกหรือรู้จักกันในชื่อว่า Shiraz แท้ 100% ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทางผู้ผลิตได้มีการเลือกสรรที่ใช้สายพันธุ์นี้เพราะว่าองุ่นสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์องุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีสไตล์มากกว่าสายพันธุ์ขององุ่นอื่นๆ ซึ่งองุ่นทั้งหมดที่ผ่านการคัดเลือกและเก็บเกี่ยวนั้นจะถูกนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กสายพันธุ์อเมริกัน 100% โดยจะต้องมีการระบุเงื่อนไขว่าถังหมักนั้นจะต้องเป็นถังไม้บาร์เรลใบใหม่แท้ 100%
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ค่อนข้างเข้มข้นอย่างยิ่ง โดยเริ่มแรกจากสีของเนื้อไวน์ที่ค่อนข้างมีความเข้มในสีแดงของเนื้อสัมผัสอย่างดียิ่ง อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์ขององุ่นที่นำมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยความที่ไวน์นี้มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความโดดเด่นจากผลราสเบอร์รี่ที่ผสานกันกับผลส้มเขียวหวานอย่างดี โดยเฉพาะกลิ่นที่มีความโดดเด่นเหนือรสชาติของเนื้อสัมผัสอีกด้วย ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติของผลไม้สีแดงและลูกกวาดที่ผสานตัวอย่างดี มีความชัดเจนในโครงสร้างขององค์ประกอบไวน์อย่างดี นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีรสชาติของมะพร้าว ลูกพลัม การแฟมอคคาและเครื่องเทศหลากหลายชนิดที่ทำให้ไวน์นี้มีความเป็นมิติที่หลากหลายมากขึ้น
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์และมีความโดดเด่นอย่างดีเยี่ยม เป็นองค์ประกอบของไวน์ที่ชัดเจนทั้งจากผลไม้สีแดง ผลส้มเขียวหวาน ลูกพลัม มะพร้าว มอคคาและเครื่องเทศ ซึ่งนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความมีชีวิตชีวาและเข้มข้นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อเป็ดและเนื้อไก่อีกด้วย นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 15.5-16.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับไวน์ทั่วไป
Mollydooker Carnival of Love Shiraz McLaren Vale
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Posts navigation
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!