Chilena Byn 7 Gran Reserva Cabernet Sauvignon นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่มีความนิยมและถูกกล่าวถึงอย่างมากในวงกว้าง โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์แดงที่ถูกผลิตขึ้นมาและถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังและมีขนาดใหญ่มากที่สุดอย่าง Maule Velley ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนในการผลิตไวน์ระดับโลกอย่าง Maipo Valley ในบริเวณใจกลางเมือง Central Valley ของประเทศชิลี โดยแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ยังถือได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีพื้นที่ในการเพาะปลูกองุ่นและโรงกลั่นไวน์เป็นของตัวเองอีกด้วยเช่นเดียวกัน
โดยไวน์ชนิดนี้ยังถือได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีกระบวนการผลิตและขั้นตอนที่ค่อนข้างไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ทางผู้ผลิตได้เลือกใช้องุ่นเพียงแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้นในการผลิตด้วยกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon แท้ 100% ซึ่งนับได้ว่าเป็นสายพันธุ์องุ่นยอดนิยมที่มีความนิยมในการผลิตไวน์แดง โดยเฉพาะองุ่นในกลุ่มสไตล์ Bordeaux ที่ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมการผลิตไวน์จากประเทศฝรั่งเศสด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นเพียงแค่แหล่งเพาะปลูกเดียวมาใช้ นั้นคือไร่องุ่นของแบรนด์ไวน์นี้ที่มีพื้นที่มากกว่า 75,000 เอเคอร์หรือประมาณ 30,000 เฮกตาร์
ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีมนต์เสน่ห์เป็นที่ดึงดูดอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะภายนอกที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในด้านเนื้อสัมผัส กลิ่นและรสชาติอย่างดี เริ่มต้นด้วยสีของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม เป็นสีแดงสดราวกับสีแดงเข้มของทับทิมที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเหนียวอย่างดี อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นที่ค่อนข้างเข้มข้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของผลไม้ผลเบอร์รี่สีดำและแดงที่ผสานกันกับเครื่องเทศหลากหลายชนิดและวานิลลา รวมทั้งยังมีกลิ่นที่เผ็ดฉุนของพริกไทยดำ ต้นโอ๊ก แก่นไม้ ลูกสนและใบมิ้นท์ที่ผสานตัวกันได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดีและเต็มไปด้วยรสชาติของน้ำผลไม้ที่มีความสมดุลและความร่วมสมัยเป็นอย่างดีอีกด้วย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ลงตัวสมดุล ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของไวน์ที่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งกลิ่นและรสชาติของผลเบอร์รี่ทั้งสีดำและสีแดง วานิลลา เครื่องเทศหลากหลายชนิด โดยเฉพาะพริกไทยดำอย่างดีและใบมิ้นท์อย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานไวน์ชนิดนี้ควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อแกะ และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อเป็ดกับเนื้อไก่ อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14% ซึ่งนับว่าเป็นระดับมาตรฐานทั่วไปของไวน์แดง
Chilena Byn 7 Grand Reserva Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Ornellaia 25 นับได้ว่าเป็นไวน์ชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งตรงมาจากแบรนด์ไวน์ชื่อดังที่มีความสามารถในการผลิตไวน์แดงชั้นเยี่ยมอย่าง Ornellaia ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตไวน์อยู่ที่บริเวณ Bolgheri ที่อยู่ทางด้านชายฝั่งในเมือง Turcany ซึ่งนับได้ว่าเป็นเมืองระดับแถวหน้าของประเทศอิตาลีที่มีการผลิตและการส่งออกไวน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและราคาแพงมากที่สุด ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่เน้นการผลิตไวน์สไตล์ Bordeaux ที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศสเป็นหลัก
ซึ่งไวน์แดงชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีกระบวนการผลิตไวน์ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนและละเอียดอยู่พอสมควร เนื่องด้วยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่นำองุ่นหลากหลายสายพันธุ์มาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตด้วยอัตราส่วนที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดนสายพันธุ์องุ่นและอัตราส่วนที่ทางผู้ผลิตได้เลือกสรรมาใช้สำหรับไวน์ชนิดนี้ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 53%, Merlot 39%, Cabernet Franc และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot อีก 4% ด้วยกัน โดยองุ่นทั้งหมดที่ทางผู้ผลิตนั้นได้เก็บเกี่ยวและคัดเลือกมาแล้วนั้นจะนำไปหมักลงในถังไม้ในหลากหลายขั้นตอนด้วยกัน โดยเริ่มแรกจะนำไปหมักลงในถังไม้บาร์เรลที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นระยะเวลา 18 เดือนด้วยกัน หลังจากนั้นก็จะเริ่มทำการหมักและบ่มหลังจากที่การหมักแบบควบคุมอุณหภูมิในขั้นตอนแรกผ่านไปแล้ว 12 เดือนด้วยกัน โดยการบ่มนั้นจะมีการนำออกมาเพียงแค่บางส่วนในแต่ละครั้งเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็จะนำกลับไปไว้ในถังดังเดิม ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆจนครบทุกส่วน หลังจากนั้นก็จะมีการหมักเพิ่มหลังจากที่มีการบรรจุขวดแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 12 เดือนด้วยกัน ถึงจะนำไปจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่ามีความพิเศษอย่างที่หาตัวจับได้ยาก สมกับเป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 25 ปีของแบรนด์ไวน์นี้ในช่วงปี 2010 นั่นเอง ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นในลักษณะภายนอกและเนื้อสัมผัสอย่างยิ่ง เริ่มต้นด้วยสีของเนื้อสัมผัสของไวน์ชนิดนี้ที่เป็นสีแดงเข้มข้นราวกับสีของทับทิมสวยงาม อีกทั้งยังมีกลิ่นที่ค่อนข้างมีโครงสร้างที่ชัดเจน รวมทั้งยังมีความเข้มที่ค่อนข้างสูงและเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของผลไม้อย่างดีมาก โดยเฉพาะผลไม้สุกอย่างดีและผลไม้สดที่ให้ความมีกลิ่นที่มีชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลิ่นเครื่องเทศและกลิ่นเครื่องปรุงรสของอิตาลีอย่าง บัลซามิค (Balsamic) และยังเป็นไวน์ที่มีรสชาติที่ค่อนข้างแน่นในเนื้อสัมผัสและมีความเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดีเยี่ยม ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังมีความเปรี้ยวเล็กน้อยของสารแทนนินอย่างดีอีกด้วย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของไวน์อิตาลีชั้นเยี่ยมอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไวน์ที่มีกลิ่นของผลไม้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีกลิ่นและรสชาติที่เป็นโครงสร้างอย่างชัดเจนและมีความเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดี ซึ่งนับได้ว่าเป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อแกะ เครื่องในสัตว์และอาหารจานเดียวอย่างพาสต้า นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.5% ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับไวน์ทั่วไป
Ornellaia 25
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Revana Napa Valley Cabernet Sauvignon นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ชื่นชอบในการดื่มด่ำกับไวน์ชั้นเลิศ โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังที่ได้รับการขนานนามจากหลากหลายนักดื่มว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในพื้นที่การผลิตนั้นอย่าง Revana ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่ล้วนแต่ผลิตผลงานไวน์ชั้นเยี่ยมมาเป็นจำนวนมาก โดยใช้ถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนเมือง Napa Valley อันโด่งดังด้านการผลิตไวน์แนวหน้าของโลก ที่อยู่ในเขตการปกครอง Napa ที่อยู่บริเวณทางด้านชายหาดตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ยอดเยี่ยมและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง เนื่องด้วยทางผู้ผลิตได้มีการคัดเลือกวัตถุดิบที่ใช้ โดยการนำองุ่นที่มีการเพาะปลูกในไร่องุ่นที่อยู่ในคฤหาสน์เท่านั้น โดยพื้นที่ในการปลูกองุ่นของสถานที่แห่งนี้ก็นับได้ว่าใหญ่โตกว้างขวางกว่า 8.2 เอเคอร์ด้วยกัน และทางผู้ผลิตนั้นมีการตัดสินใจเลือกใช้องุ่นชั้นเยี่ยมที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษอย่างCabernet Sauvignon. แท้ 100% ที่ความนิยมเป็นระดับโลกมาใช้ในการผลิตในครั้งนี้
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะรูปร่างภายนอกและสัมผัสที่น่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก ไม่ว่ากลิ่น สีของเนื้อสัมผัส และรสชาติของไวน์ล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดไม่แพ้กัน โดยเริ่มแรกจากสีของเนื้อสัมผัสของไวน์ที่มีสีแดงเข้มราวกันกับสีแดงโกเมนหรือสีทับทิม อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเข้มข้นและมีความเปรี้ยวเล็กน้อยจากสารแทนนินอีกด้วย ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีความแห้งของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างชัดเจนและมีความเบาบางและนุ่มนวลอย่างดี นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นอายและรสสัมผัสของวานิลลา ต้นโอ๊ก ลูกสน และผลไม้สีดำหลากหลายชนิด ทั้งผลเคอร์แรนสีดำและผลเบอร์รี่สีดำ โดยรสชาติและกลิ่นอายเหล่านี้จะถ่ายทอดความหวานหอมเข้ามาที่จะมีเหล่าเครื่องเทศมาผสานกันเผื่อตัดความหวานเลี่ยนที่อาจจะเกิดขึ้นและทำให้ไวน์ชนิดนี้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น โดยเครื่องเทศที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ คือ ชะเอมเทศ พริกไทยและอบเชย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นอายและที่ให้บรรยากาศความหวานหอมและความเผ็ดร้อนจางๆได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นและรสชาติของผลไม้สีดำหลากหลายชนิดด้วยกัน ที่ผสานกันกับเครื่องเทศ เช่น ชะเอมเทศ พริกไทยและอบเชยอย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำไวน์ชนิดนี้ไปรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่กับเนื้อเป็ดและชีสทั้งแบบชีสผสมและแบบเข้มข้น นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.7% เพียงเท่านั้น
Revana Napa Valley Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Mollydooker Carnival of Love Shiraz McLaren Vale นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Mollydooker ที่นับได้ว่าเป็นอาคารและคฤหาสน์เก่าแก่ของครอบครัวพื้นเมืองในย่านชุมชนการผลิตไวน์ชื่อดังอย่าง McLaren Vale ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ในสถานที่เดียวกันกับคฤหาสน์ที่มีไร่องุ่นเป็นของตัวเอง ซึ่งย่านชุมชน McLaren Vale นั้นจะอยู่ทางด้านเขตการปกครองของออสเตรเลียใต้ในประเทศออสเตรเลีย
โดยไวน์ชนิดนี้จะเป็นการนำวัฒนธรรมการผลิตของแบรนด์ไวน์มาใช้ ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้จะมีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ด้วยองุ่นเพียงแค่สองสายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon แต่ว่าทางผู้ผลิตนั้นได้มีการคัดเลือกและตัดสินใจที่จะใช้องุ่นสายพันธุ์Syrah หรือที่ใครหลายคนเรียกหรือรู้จักกันในชื่อว่า Shiraz แท้ 100% ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทางผู้ผลิตได้มีการเลือกสรรที่ใช้สายพันธุ์นี้เพราะว่าองุ่นสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์องุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีสไตล์มากกว่าสายพันธุ์ขององุ่นอื่นๆ ซึ่งองุ่นทั้งหมดที่ผ่านการคัดเลือกและเก็บเกี่ยวนั้นจะถูกนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กสายพันธุ์อเมริกัน 100% โดยจะต้องมีการระบุเงื่อนไขว่าถังหมักนั้นจะต้องเป็นถังไม้บาร์เรลใบใหม่แท้ 100%
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ค่อนข้างเข้มข้นอย่างยิ่ง โดยเริ่มแรกจากสีของเนื้อไวน์ที่ค่อนข้างมีความเข้มในสีแดงของเนื้อสัมผัสอย่างดียิ่ง อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์ขององุ่นที่นำมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยความที่ไวน์นี้มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความโดดเด่นจากผลราสเบอร์รี่ที่ผสานกันกับผลส้มเขียวหวานอย่างดี โดยเฉพาะกลิ่นที่มีความโดดเด่นเหนือรสชาติของเนื้อสัมผัสอีกด้วย ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติของผลไม้สีแดงและลูกกวาดที่ผสานตัวอย่างดี มีความชัดเจนในโครงสร้างขององค์ประกอบไวน์อย่างดี นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีรสชาติของมะพร้าว ลูกพลัม การแฟมอคคาและเครื่องเทศหลากหลายชนิดที่ทำให้ไวน์นี้มีความเป็นมิติที่หลากหลายมากขึ้น
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์และมีความโดดเด่นอย่างดีเยี่ยม เป็นองค์ประกอบของไวน์ที่ชัดเจนทั้งจากผลไม้สีแดง ผลส้มเขียวหวาน ลูกพลัม มะพร้าว มอคคาและเครื่องเทศ ซึ่งนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความมีชีวิตชีวาและเข้มข้นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อเป็ดและเนื้อไก่อีกด้วย นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 15.5-16.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับไวน์ทั่วไป
Mollydooker Carnival of Love Shiraz McLaren Vale
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Castello di Bolgheri Varvara Bolgheri นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งและมีมนต์เสน่ห์อย่างเหลือล้นในระดับโลก โดยเฉพาะในแถบทวีปยุโรป ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์และผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Castello di Bolgheri ซึ่งนับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีการก่อตั้งที่ใช้เวลาไม่นานมากแต่กลับรวบรวมคุณภาพไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้จะมีฐานการผลิตอยู่ที่เมือง Tuscany ที่อยู่ทางด้านตอนใต้ของเขตการปกครองใหญ่ Livorno ของประเทศอิตาลี
โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างเต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมการผลิตไวน์ที่มีการสืบทอดกันมาภายในชุมชนของประเทศอิตาลี อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีการนำสายพันธุ์องุ่นมากกว่าห้าสายพันธุ์มาใช้ในการผลิตไวน์ชนิดนี้จนได้ชื่อว่าเป็นสูตรการผลิตไวน์ที่มีความนิยมอย่าง Bordeaux Blend ซึ่งเป็นสูตรการผลิตไวน์แดงที่ได้รับการสืบทอดมาจากทางประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งนำมาผสานกันกับวัฒนธรรมการผลิตของอิตาลีที่เน้นในการเพิ่มสีของไวน์ให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยชาว Tuscan นั้นจะมีการคัดเลือกสายพันธุ์องุ่น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon, Cabernet Franc, Merlot, Petit Verdot และองุ่นสายพันธุ์ Malbec โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกนำไปหมักไม้โอ๊กสายพันธุ์ฝรั่งเศสอย่างดี
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในไวน์แดงอย่างสมบูรณ์ โดยสีของเนื้อสัมผัสของไวน์นั้นจะมีความเข้มข้นและมีสีแดงเข้มอย่างดี อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีลักษณะภายนอกและรูปร่างที่เข้มข้นและเป็นองค์ประกอบที่ชัดเจน และสามารถแยกออกได้อย่างดี โดยความโดดเด่นของไวน์นี้จะมีองค์ประกอบที่โดดเด่นของต้นโอ๊ก ช็อกโกแลต ผลไม้สีดำหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลเคอร์แรนและผลเบอร์รี่สีดำ
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเข้มข้นและมีสารแทนนินที่ให้ความเปรี้ยวได้อย่างดี อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีความแห้งในเนื้อสัมผัสได้เป็นอย่างดี และยังเป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นมาจากช็อกโกแลต ต้นโอ๊ก ใบยาสูบและความหวานจากผลไม้สีดำหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่ไวน์ชนิดนี้จะนำไปรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เครื่องในสัตว์และอาหารจานเดียวอย่างพาสต้า นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 13.5-14.5% เพียงเท่านั้น
Castello di Bolgheri Varvara Bolgheri
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Château Malartic Lagravière Grand Cru Classé ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาและถูกผลิตขึ้นมาถายใต้แบรนด์ไวน์ที่มีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในแถบทวีปยุโรปอย่าง Château Malartic Lagravière ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่เมือง Pessac-Leognan ที่เป็นแหล่งใหญ่มากในการส่งออกและการผลิตไวน์แดงที่อยู่ในเมือง Bordeaux ซึ่งเป้นเมืองที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำเทคนิคที่เก่าแก่อย่างเทคนิคการผลิตไวน์แดงอย่างGrand Cru Classé หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Cru Classe de Graves ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในการผลิตไวน์ขาวเป็นสำคัญ แต่ว่าทางผู้ผลิตได้มีการนำมาปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้จากเทคนิคที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 1959 จนถึงเวลาปัจจุบัน โดยทางผู้ผลิตได้มีการนำองุ่นมาใช้ในการผลิตไวน์ชนิดนี้มาถึงสี่สายพันธุ์ด้วยกัน โดยอัตราส่วนในการผลิตไวน์ในครั้งนี้จะมีความแตกต่างกันตามช่วงปีที่มีการผลิตที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันไป ซึ่งสายพันธุ์องุ่นที่ทางผู้ผลิตนั้นได้เลือกสรรมานั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot, Cabernet Sauvignon, Cabernet Franc และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot ซึ่งองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกเก็บเกี่ยวในเวลาที่ค่อนข้างห่างกัน โดยเริ่มต้นจากองุ่นสายพันธุ์ Merlot จะถูกเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือนจนถึงปลายเดือนกันยายน และองุ่นที่เหลือนั้นจะถูกเก็บเกี่ยวในช่วงตลอดทั้งเดือนตุลาคมเท่านั้น เพื่อให้ได้องุ่นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพมากที่สุด และองุ่นทั้งหมดที่ผ่านการเลือกสรรอย่างดีแล้ว จะถูกนำไปบ่มลงในถังไม้สแตนเลสเป็นระยะเวลา 21-23 วัน หลังจากนั้นก็จะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 18 เดือนด้วยกัน
โดยไวน์ชนิดนี้ไม่ได้มีดีแค่กระบวนการผลิตที่มีตำนานและการสืบทอดมาอย่างยาวนาน แต่ว่าลักษณะภายนอกและรูปร่างของผิวสัมผัสของไวน์ก็น่าดึงดูดใจด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีสีสวยงามราวกับสีของโกเมนผสานกันกับสีของทับทิม บวกกันกับไวน์ที่มีลักษณะที่มีกลิ่นอายของความคลาสสิกและมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมอย่างดี รวมไปถึงมีลักษณะภายนอกที่มีเอกลักษณ์ที่ความเข้มข้นและองค์ประกอบที่โดดเด่นของผลเคอร์แรนและช็อกโกแลตที่ผสานตัวจนทำให้ไวน์นี้มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมจากผลเคอร์แรนที่ผสานตัวกันกับช็อกโกแลตอย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานไวน์ชนิดนี้ควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12.5-14.5% เพียงเท่านั้น
Château Malartic Lagravière Grand Cru Classé
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux คือไวน์ที่แพงที่สุดเป็นอันดับสามของไวน์ Vosne-Romanee ภายใต้เงื่อนไขการผลิตที่เข้มงวดโดยใช้ผลองุ่นจากหนึ่งในไร่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นไร่ Premier Cru
โดยไร่ Cros Parantoux นั้นมีขนาดพื้นที่ที่ไม่ใหญ่นักโดยมีพื้นที่ประมาณ 1 เฮกตาร์หรือประมาณ 6.25 ไร่ ตั้งอยู่ในบริเวณเนินเขาสูงทางทิศตะวันตกของ Richebourg Grand Cru ด้วยลมที่พัดมาจากหุบเขาทางทิศตะวันออกจึงทำให้ภูมิอากาศที่ Cros Parantoux นั้นจะเย็นกว่าละแวกอื่นๆ ทำให้ผลองุ่นจะสุกช้าขึ้นซึ่งเป็นการทำให้แน่ใจว่าผลองุ่นที่ได้จะมีค่าความเป็นกรดที่เพียงพอในการทำให้ไวน์มีความสมดุลและดึงศักยภาพในการบ่มออกมาได้อย่างดี ดินภายในไร่ประกอบไปด้วยชั้นดินเหนียวที่ปกคลุมด้วยหินปูนแข็ง ภายในดินมีความอุดมสมบูรณ์ที่ต่ำและมีภาวะขาดน้ำทำให้ต้นองุ่นต้องหยั่งรากลึกลงไปในรอยแยกของหินมากขึ้น ส่งผลให้ผลองุ่นได้รับพลังงานจากลำต้นโดยตรงทำให้ได้คุณภาพที่ดี และเหมาะแก่การนำไปผลิตไวน์ โดยหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Henri Jayer ได้เข้ามาดูแลภายในไร่ และก่อนที่จะทำการเพาะปลูกต้นองุ่น Henri ก็ได้ใช้ระเบิดเพื่อทำให้ดินที่มีความแข็งนั้นนุ่มขึ้น
Henri Jayer ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตไวน์แดงเบอร์กันดีที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ด้วยการผลิตไวน์จากองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดย Henri Jayer ได้เริ่มบรรจุไวน์ลงขวดภายใต้ชื่อของเขาเองตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 จนถึงปีค.ศ. 2001 ที่เขาได้เกษียรตัวออกจากการผลิตไวน์ และเสียชีวิตลงในปีค.ศ. 2006 โดยเขาได้ให้หลานของเขาอย่าง Emmanuel Rouget มารับช่วงต่อในการผลิตไวน์ต่อไป และไวน์ Vosne-Romanee ที่ออกวางจำหน่ายหลังปีค.ศ. 2001 ก็จะอยู่ภายใต้ชื่อของ Emmanuel Rouget แทน ด้วยจำนวนที่มีจำกัดทำให้ไวน์ของ Henri Jayer เป็นไวน์ที่น่าสะสมที่สุดและมีค่าที่สุดในโลก
Vosne-Romanée Cros Parantoux เป็นไวน์แดงที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir 100% และได้รับการพิจารณาจากผู้คนมากมายถึงความสมดุลของน้ำหนักและโครงสร้างของไวน์ที่สวยงาม อีกทั้งยังมีส่วนผสมของรสชาติผลไม้เปรี้ยวสีแดงอย่างเชอรร์รี่และราสเบอร์รี่ และกลิ่นของชะเอมเทศ โดยปริมาณของแอลกอฮอลของไวน์ Vosne-Romanée Cros Parantoux จะอยู่ที่ 13.50% ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ปริมาณแอลกอฮอลในไวน์ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยอาหารที่เหมาะจะรับประทานคู่กับไวน์แดงชนิดนี้คืออาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อลูกวัว เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีกอย่างเช่น เนื้อเป็ด หรือ เนื้อห่าน เป็นต้น
Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1992 ในฐานะไวน์ลำดับที่สองของ Château de Valandraud โดยชื่อ Virginie de Valandraud นี้นั้นได้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อลูกสาวของ Jean–Luc ThunevIn และ Murielle Andraud โดยใช้องุ่นที่ปลูกในไร่เดียวกันและวิธีการผลิตไวน์แบบเดียวกันกับ Château de Valandraud
เดิมทีในปีค.ศ. 1987 Jean–Luc และ Murielle ได้ซื้อที่ดินของไร่องุ่นจำนวน 0.6 เฮกตาร์ หรือประมาณ 3.75 ไร่ที่อยู่ไม่ไกลกับไร่ของ Chateau Pavie Macquin และ Chateau La Clotte ในเมือง St. Emilion ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นเพียงเวลาไม่นานพวกเขาก็ได้ซื้อไร่องุ่นทางทิศตะวันออกของเมือง St. Sulpice รวมเพิ่มอีก 1.2 เฮกตาร์ หรือประมาณ 7.5 ไร่ ในทุกๆกระบวนการผลิตไวน์ ครอบครัว Thunevin จะคอยดูแลและกำกับตลอดเพื่อให้ทุกอย่างมีความสมบูรณ์ที่สุด โดยเริ่มต้นตั้งแต่การปลูกต้นองุ่น Murielle จะคอยดูแลต้นองุ่นในทุกๆวัน จนเมื่อปีค.ศ. 2001 ทางไร่ได้เริ่มนำกระบวนการปลูกแบบออแกนิคเข้ามาใช้ภายในไร่มากขึ้น แทนที่การใช้ยาฆ่าแมลงกับต้นองุ่น ในตอนแรกที่ Valandraud เริ่มต้นด้วยการทำธุรกิจโรงบ่มไวน์ขนาดเล็ก ด้วยเงินที่หมดไปกับการซื้อไร่องุ่นทำให้พวกเขาไม่มีห้องเก็บไวน์ใต้ดินเหมือนแบรนด์อื่นๆ ไวน์ของพวกเค้าจึงถูกผลิตขึ้นในโรงรถที่ยืมมา ตอนเปิดตัวไวน์องุ่นครั้งแรก พวกเขามีจำนวนของไวน์องุ่นน้อยกว่า 100 กล่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Garage Wine ขึ้น หลังจากนั้นพวกเค้าก็ได้ซื้อที่ดินรอบๆ St.Emilion เพิ่มอีกมากกว่า 10 เฮกตาร์ หรือประมาณ 62.5 ไร่
พื้นที่ไร่องุ่นของ Valandraud จำนวนกว่า 9 เฮกตาร์ หรือประมาณ 56.25 ไร่ ได้แบ่งพื้นที่เพาะปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์แดงไว้ดังนี้ คือ องุ่นสายพันธุ์ Merlot 65% สายพันธุ์ Cabernet Franc 25% สายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% สายพันธุ์ Malbec 4% และสายพันธุ์ Carmenere อีก 1% นอกจากนี้พวกเขายังได้แบ่งพื้นที่อีก 2 เฮกตาร์ หรือประมาณ 12.5 ไร่ไว้สำหรับปลูกองุ่นไว้ทำไวน์ขาว โดยแบ่งพื้นที่การปลูกเป็น องุ่นสายพันธุ์ Sauvignon Blanc 50% สายพันธุ์ Semillon 35% และองุ่นสายพันธุ์ Sauvignon Gris อีก 15% โดยต้นองุ่นภายในไร่จะถูกปลูกในดินเหนียวและดินที่มีส่วนผสมของหินปูน และมีการใช้เทคนิคการดูแลทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่และผ่านการตัดแต่งกิ่งถึง 2 ครั้ง จนเมื่อสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ผลองุ่นจะถูกคัดเลือกตั้งแต่อยู่ในไร่ก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นเมื่อนำผลองุ่นไปไว้ที่ห้องเก็บไวน์ใต้ดิน ผลองุ่นก็จะถูกคัดเลือกด้วยมืออีกหนึ่งรอบก่อนจะถูกดึงก้านที่เหลืออยู่ออก
ในการผลิตไวน์ของ Valandraud ได้มีการควบคุมอุณหภูมิของทั้งถังไม้ ถังสแตนเลส และถังคอนกรีต โดยขั้นตอนการหมักจะแตกต่างกันไปตามชนิดของไวน์ และการหมักครั้งที่สองจะถูกหมักในถังไม้ฝรั่งเศสใหม่ 100% เป็นระยะเวลา 18-30 เดือน ตามคุณภาพและลักษณะของไวน์ จนได้ไวน์ที่มีรูปแบบที่นุ่มนวล อุดมสมบูรณ์ และมีค่าความเป็นกรดต่ำ พร้อมด้วยรสชาติของแทนนินที่นุ่มลิ้น รสชาติของเบอร์รี่สีเข้ม เชอร์รี่ ชะเอมเทศ และช็อคโกแลต
Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon เป็นหนึ่งในไวน์ชั้นยอดของแคลิฟอร์เนีย ที่มีกลิ่นหอมจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet รวมไปถึงความสามารถในการบ่มไวน์ที่ยอดเยี่ยมอีกทั้ง Hillside Select ยังเป็นไวน์แดงระดับเรือธงของแบรนด์ Shafer อีกด้วย
ไร่องุ่นของ Shafer ตั้งอยู่ใต้ที่ลาดชันที่เรียกว่า Stags Leap Palisades ในพื้นที่ Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการรวบรวมไร่องุ่นขนาดเล็กจำนวน 14 ไร่เข้าด้วยกัน ในตอนแรก Shafer ได้รับไร่องุ่นที่ถูกทอดทิ้งไปนี้มาจากชาวนาที่มีชื่อว่า Batista Scansi พร้อมกับต้นองุ่นที่ถูกปลูกไว้กว่า 50 ปี โดยดินในพื้นที่นี้แม้จะเป็นดินภูเขาไฟแต่ก็มีความบางและสารอาหารที่ต่ำทำให้ผลผลิตที่ได้มีขนาดที่เล็กประมาณผลบลูเบอร์รี่ อีกทั้งการรวมกันของภูมิอากาศในบริเวณไร่และความแห้งและขรุขระของดินยังส่งผลให้องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon ที่มีความเขียวชอุ่ม มีสีที่เข้ม และรสชาติที่มีความคลาสสิกและเข้มข้นอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมที่คล้ายกับกลิ่นของพริกชี้ฟ้าเขียว และรสชาติขององุ่นดำแห้ง
โดย Hillside Select นั้นจะผลิตขึ้นจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 100% ที่มีความซับซ้อนจากการโคลนนิ่งและตัดแต่งกิ่งภายในไร่ โดยองุ่นที่ต่างชนิดกันก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันด้วยเช่นเดียวกันในฤดูที่เหมาะแก่การเก็บเกี่ยว ผลองุ่นจะถูกคัดอย่างพิถีพิถันด้วยมือและถูกส่งไปยังแผ่นบดที่สะอาด ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยภายในโรงผลิตไวน์ ก้านองุ่นที่มีความเปราะบางจะถูกแยกออกมา องุ่นอยู่ในถังหมักเรียบร้อยแล้วจะถูกดูแลอย่างดีเป็นพิเศษ เพื่อดึงเอาความต่างเพียงเล็กน้อยของผลองุ่นออกมา โดยถังหมักที่ใช้จะเป็นถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสที่ผ่านการดมกลิ่นในแต่ละถังเพื่อหาถังที่จะทำให้ไวน์Hillside Select มีกลิ่นที่หอมที่สุด และใช้เวลาในการบ่มไวน์ในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใหม่เป็นเวลาถึง 32 เดือน แล้วจึงค่อยบรรจุไวน์ลงในขวดเก็บไว้อีกหนึ่งปีก่อนจะนำออกมาวางจำหน่าย
ในทุกๆปี Shafer จะสามารถผลิตไวน์ที่เป็นสัญลักษณ์ได้ประมาณ 2,400 กล่องเท่านั้น โดยจะนำไปเสนอให้กับผู้ที่มีความชื่นชอบไวน์ชั้นเลิศ โรงแรมและภัตตาคารระดับสูงที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดทั่วโลก ตัวอย่างไวน์ที่ดีที่สุดของ Hillside Select นั้นจะให้รสสัมผัสที่นุ่มเมื่อผ่านการบ่มเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ด้วยรสชาติความหวานของผลไม้บางๆ ทำให้ไวน์ของ Hillside Select นั้นถูกวิจารณ์ในบางไตรมาส นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่าไวน์ของ Hillside Select ก็เหมือนกับไวน์อื่นๆที่ปลูกในพื้นที่ Napa Valley ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติความหวานของผลไม้สีเข้ม
Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley เป็นโรงงานผลิตไวน์ที่ตั้งอยู่ที่ Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รายล้อมไปด้วยพื้นที่สำหรับปลูกไวน์พรีเมี่ยม Far Niente เป็นเพียงแห่งเดียวที่ใช้ถ้ำในการเก็บไวน์ที่ผ่านการบรรจุลงไปบ่มในถังไม้ โดยในปีค.ศ.1885 Far Niente ได้ก่อตั้งขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของ John Benson อดีตคนงานเหมืองทองในยุคแห่งทองคำที่แคลิฟอร์เนีย ที่มาของชื่อ Far Niente มาจากวลีโรแมนติกในภาษาอิตาลีที่มีความหมายว่า “ปราศจากความกังวล”และชื่อ Far Niente นี้ก็ยังได้ถูกสลักไว้ที่หินที่อยู่บริเวณหน้าอาคารตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 อีกด้วย
ที่ไร่ของ Far Niente นั้นได้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Chardonnay บนพื้นดินมีการระบายน้ำได้ดีจากการผสมดินร่วนและกรวดเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนผสมของดินเถ้าภูเขาไฟที่ช่วยในการเจริญเติบโตของต้นองุ่นและช่วยให้ผลผลิตที่ออกมามีรสชาติของผลไม้เมืองร้อนและกลิ่นที่มีความซับซ้อน โดยการปลูกไร่องุ่นนั้นเริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 ด้วยเวลาที่ลึกซึ้งกว่า 4 ทศวรรษในการผลิตไวน์แดงจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และการรวบรวมองุ่นจากไร่องุ่นชั้นเลิศในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นจาก Rutherford, Stags Leap, Calistoga และ St. Helena ที่ผ่านการคัดเลือกด้วยมืออย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด เพื่อที่จะนำไปผลิตไวน์ที่มีคุณภาพขึ้นมา
ในการบ่มไวน์องุ่นของ Far Niente พวกเขาจะใช้องุ่น 20% ในไร่ต่อปี และบ่มในถังไม้เก็บไว้ในถ้ำของพวกเขาเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี ก่อนที่จะนำไวน์องุ่นออกมาวางจำหน่ายอีกครั้ง โดยแรกเริ่มนั้น John Benson ตั้งใจที่จะเจาะกำแพงด้านทิศตะวันตกของห้องเก็บไวน์ใต้ดินขึ้น แต่ด้วยการเสียชีวิตของเขาการเจาะถ้ำจึงยังไม่ได้เริ่มขึ้น จนเมื่อปีค.ศ.1980 Alf Burtleson ได้จ้างให้มีการขุดถ้ำไวน์ที่มีความลึก 60 ฟุต บริเวณด้านหลังของโรงกลั่นไวน์ที่เป็นหุบเขา ถ้ำไวน์ของ Far Niente Napa Valley จึงถือได้ว่าเป็นถ้ำไวน์แห่งแรกในอเมริกาเหนือ หลังจากนั้นอีก 21 ปี ถ้ำเก็บไวน์ได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ตารางฟุต โดยการใช้อุปกรณ์ขุดแบบเดียวกับเหมืองถ่านในประเทศอังกฤษ สำหรับ Far Niente แล้วนั้นถ้ำเก็บไวน์ไม่ได้เป็นเพียง “สิ่งที่ควรมี” แต่เป็น “สิ่งที่ต้องมี” ด้วยชื่อเสียงในการบ่มไวน์อย่างดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ความพิถีพิถันที่ตรงตามจรรยาบรรณและมารตราฐานในการผลิตไวน์ นอกจากนี้ Dirk Hampson ผู้อำนวยการผลิตไวน์ยังได้กล่าวไว้อีกว่า “ถ้ำมีคุณลักษณะที่ดีในการบ่มไวน์อย่างไม่น่าเชื่อ ที่อาคารบนดินไม่สามารถทำได้”
ไวน์องุ่นของ Far Niente จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.5% ซึ่งถือได้ว่ามีปริมาณของแอลกอฮอล์สำหรับไวน์ที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ด้วยกลิ่นหอมของมิกซ์เบอร์รี่ เครื่องเทศอบ ลาเวนเดอร์แห้งและโหระพา จะช่วยเปิดต่อมรับรสภายในปากให้ได้รสชาติของมิกซ์เบอร์รี่ ชาดำ เครื่องเทศ และไม้โอ๊กรมควัน พร้อมด้วยความสดชื่นและเนื้อสัมผัสที่ละเอียดของแทนนินที่ช่วยส่งเสริมเอกลักษณ์ของไวน์ในทุกๆด้านขึ้นมา และปิดท้ายด้วยความนุ่มลื่นของรสชาติและเนื้อสัมผัสต่างๆ โดยไวน์แดงจาก Far Niente นี้เหมาะสำหรับอาหารประเภทเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก รวมไปถึงพวกชีสแข็งต่างๆ
Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Posts navigation
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!