Chateau Grand Clapeau Olivier Haut-Medoc นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์หรือยี่ห้อของโรงกลั่นไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Chateau Grand Clapeau Olivier Haut-Medoc ซึ่งเป็นโรงกลั่นไวน์ที่อยู่ในระดับต้นๆของชุมชน Haut-Medoc ในเมือง Bordeaux ของประเทศฝรั่งเศส
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการผสมรวมกันขององุ่นมากกว่าสามสายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 82%, Merlot 16% และ Cabernet Franc 2% โดยองุ่นทั้งสามสายพันธุ์จะถูกนำมาใช้ในอัตราส่วนที่เหมือนกันในทุกรุ่น รวมทั้งยังมีการเก็บเกี่ยวด้วยมือและคัดเลือกลักษณะอย่างดี เพื่อให้ได้ไวน์ที่ดีที่สุด
ตัวไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีลักษณะของไวน์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีที่ค่อนข้างเข้มข้น รวมทั้งยังมีสีออกไปทางแดงทับทิมแกมแดงโกเมน ซึ่งไวน์ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นของผลไม้สีดำที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลเบอร์รี่สีดำและเหล้าแคสซิสหรือเหล้าลูกเกดสีดำ นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นของวานิลลา ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสชาติที่เต็มไปด้วยรสของต้นโอ๊กและเครื่องเทศที่ให้ความหวาน มีความเต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างมาก
ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่งที่มีรสชาติของความเปรี้ยวจากสารแทนนินที่ค่อยๆทยอยเพิ่มขึ้นเมื่อเหล้ามีการเก็บไว้อยู่ที่ประมาณสองถึงสามปี จึงทำให้ไวน์ชนิดนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารจำพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีกเช่นไก่และเป็ด รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 13% อีกด้วย
Chateau Grand Clapeau Olivier Haut-Medoc
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Château Mouton Rothschild Pauillac นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์หรือยี่ห้อของโรงกลั่นไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Château Mouton Rothschild ซึ่งเป็นโรงกลั่นไวน์ที่อยู่ในระดับต้นๆของเมือง Bordeaux ของประเทศฝรั่งเศส
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการผสมรวมกันขององุ่นมากกว่าสามสายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 82%, Merlot 16% และ Cabernet Franc 2% โดยองุ่นทั้งสามสายพันธุ์จะถูกนำมาใช้ในอัตราส่วนที่เหมือนกันในทุกรุ่น รวมทั้งยังมีการเก็บเกี่ยวด้วยมือและคัดเลือกลักษณะอย่างดี เพื่อให้ได้ไวน์ที่ดีที่สุด โดยองุ่นทั้งหมดจะถูกนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กใบใหม่เป็นเวลายาวนานกว่า 22 เดือนก่อนที่จะถูกบรรจุลงขวด
ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เริ่มจากสีของเนื้อสัมผัสของไวน์ที่มีสีแดงเข้มผสานกับสีม่วงสวยงาม นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลเบอร์รี่สีดำและผลบิลเบอร์รี่ป่า ผสมกับกลิ่นของชะเอมเทศและใบยาสูบที่ส่งกลิ่นอายของความหรูหราและซับซ้อนให้แก่ไวน์นี้ ซึ่งรสชาติกับกลิ่นนั้นก็แทบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยไวน์นี้เป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสของความสดใหม่และความเต็มน้ำเต็มเนื้อ มีทั้งความเข้มที่เปิดรสมานช่วงแรก และค่อยๆหายไปเนื่องจากมีความนุ่มนวลของครีมและความเปรี้ยวจากสารแทนนินมาแทนที่
ในภาพรวมนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีมนต์เสน่ห์ในเรื่องความครบของกลิ่นและรสชาติที่มีทั้งความนุ่มนวลและความเข้มข้นในเวลาเดียวกัน บวกกับเป็นไวน์ที่มีสัญลักษณ์ของผลไม้ป่าที่ผสานกับเครื่องเทศมากมาย ช่วงส่งให้ไวน์ชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างทั่วโลก
Château Mouton Rothschild Pauillac
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Amiral de Beychevelle Saint-Julien นับได้ว่าเป็นไวน์ชนิดที่สองของแบรนด์ไวน์หรือยี่ห้อไวน์ชื่อดังอย่าง Amiral de Beychevelle ที่มีการตั้งแหล่งการผลิตและแหล่งเพาะปลูกในเมือง Saint-Julienที่อยู่บริเวณ Medoc ของ Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งยังเป็นสถานที่เดียวกันกับคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ที่มีการสร้างมาตั้งแต่อดีตที่ยาวนานอีกด้วย
โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นทั้งสามสายพันธุ์มาใช้ในกระบวนการผลิตไวน์ในครั้งนี้ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon, Merlot และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Franc ที่มีการใช้อัตราส่วนที่แตกต่างกันตามปีที่มีการผลิต ซึ่งไวน์ชนิดนี้จะออกรุ่นใหม่มาแทบทุกปี โดยองุ่นทั้งสามสายพันธุ์ จะต้องผ่านการคัดเลือกและเลี้ยงดูให้เติบโตด้วยเทคนิคเฉพาะและการคัดสรรที่ละเอียดถี่ถ้วน โดยองุ่นที่ใช้ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากบริเวณเพาะปลูกในคฤหาสน์ Chateau Beychevelle ที่มีพื้นที่มากกว่า 250 เอเคอร์ รวมทั้งยังจะนำไปหมักลงในถังหมักไวน์ดั้งเดิมของประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีของเนื้อสัมผัสเป็นสีแดงเข้มราวกับสีของโกเมนกับสีม่วงเงาวาว รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีรสชาติที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้อ รสชาติค่อนข้างเปรี้ยว แต่มีความกลมกล่อม โดยกลิ่นและรสชาติของไวน์นี้เต็มไปด้วยกลิ่นและรสสัมผัสของยลไม้สีดำหลากชนิด โดยเฉพาะผลเบอร์รี่สีดำและลูกพลัม
ในภาพรวมนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความกลมกล่อมและยอดเยี่ยมสมกับรางวัลสองปีซ้อนในการแข่งขัน Le Guide Hachette des Vins ในปี ค.ศ. 2001-2002 โดยกลิ่นและรสชาติของไวน์นี้เต็มไปด้วยกลิ่นและรสสัมผัสของยลไม้สีดำหลากชนิด โดยเฉพาะผลเบอร์รี่สีดำและลูกพลัม ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีดอย่างเนื้อไก่และเนื้อเป็ด เพื่อเพิ่มรสชาติของไวน์ควรที่จะใช้อุณหภูมิในการเก็บรักษาที่ 15.5 องศาเซลเซียส หรืออยู่ที่ 60 องศาฟาเรนไฮต์สำหรับช่วยรักษาไวน์นี้ นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ระดับของปริมาณแอลกอฮอล์ของไวน์นี้ที่อยู่ที่ 12-14% ซึ่งนับได้ว่าไม่มากเกินไปสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป
Amiral de Beychevelle Saint-Julien
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Château Haut-Marbuzet Saint estèphe นับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีกลิ่นอายของความเก่าแก่คลาสสิกที่ถูกส่งตรงมาจากแบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Château Haut-Marbuzet ที่มีการตั้งแหล่งการผลิตและแหล่งเพาะปลูกในเมือง Saint-Estèphe ที่อยู่บริเวณ Medoc ของ Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งยังเป็นสถานที่เดียวกันกับคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ในช่วงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 อีกด้วย
โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาภายใต้บริเวณที่ดินที่กว้างใหญ่กว่า65 เอเคอร์ ที่มีการปลูกองุ่นอยู่หลายชนิดในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ได้แก่ 50% Cabernet Sauvignon, 40% Merlot, 5% Petit Verdot และ 5% Cabernet Franc โดยไวนชนิดนี้จะเน้นความสำคัญในการใช้องุ่นทั้งสี่สายพันธุ์ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ได้แก่ 50% Merlot, 40% Cabernet Sauvignon, 5% Cabernet Franc และ 5% Petit Verdot ซึ่งเป็นอัตราส่วนเดียวกันกับจำนวนองุ่นที่มีการเพาะปลูก โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กพันธุ์เยี่ยมจากประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลายาวนานกว่า 18 เดือนด้วยกัน
ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความสวยงามจากสีเนื้อสัมผัสที่เป็นสีแดงเข้ม รวมทั้งยังมีกลิ่นของไวน์ที่เต็มไปด้วยใบยาสูบ กาแฟเอสเปรสโซ่ ใบไม้หลากชนิดรมควันและผลเชอร์รี่สีดำ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังมีรสชาติที่คล้ายคลึงกับกลิ่นที่ได้รับ ใบยาสูบ กาแฟเอสเปรสโซ่ ผลเชอร์รี่สีดำ ผลไม้สีแดงและเบอร์รี่สีดำที่มีช่วยส่งเสริมความกลมกล่อม เบาบาง นุ่มนวลและความเต็มน้ำเต็มเนื้อให้ไวน์แดงนี้ได้อย่างดี
ในภาพรวมนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้จุดเด่นและเอกลักษณ์ทั้งสี รสชาติและกลิ่นทั้งใบยาสูบ กาแฟเอสเปรสโซ่ ผลเชอร์รี่สีดำ ผลไม้สีแดงและเบอร์รี่สีดำ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีดอย่างเนื้อไก่และเนื้อเป็ด โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่จะมีรสชาติดีเมื่อเก็บไว้ที่ประมาณ 2-3 ปี สำหรับแบบทั่วไปและประมาณ 10-20 ปีสำหรับแบบวินเทจ และจำเป็นต้องเปิดค้างไว้ประมาณ 1-2 เพื่อเพิ่มรสชาติของไวน์อีกด้วย รวมทั้งยังสามารถใช้อุณหภูมิในการเก็บรักษาที่ 15.5 องศาเซลเซียส หรืออยู่ที่ 60 องศาฟาเรนไฮต์สำหรับช่วยรักษาไวน์นี้ นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ระดับของปริมาณแอลกอฮอล์ของไวน์นี้ที่อยู่ที่ 13.5-14% ซึ่งนับได้ว่าไม่มากเกินไปสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป
Château Haut-Marbuzet Saint estèphe
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Chateau Beauregard Pomerol นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมอีกยี่ห้อหนึ่งที่มีการถูกสร้างสรรค์และผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Chateau Beauregard หรือเป็นชื่อเดียวกันกับสถานที่ที่ตั้งโรงกลั่นไวน์และแหล่งเพาะปลูกองุ่นที่ใช้ทำไวน์ของตัวเอง บริเวณชุมชนย่าน Pomerol ของเมือง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส
โดยสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกันกับคฤหาสน์ Chateau Beauregard ที่มีชื่อเสียงและเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อยี่ห้อไวน์ชนิดนี้ ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีบริเวณกว้างกว่า 17.5 เอเคอร์ เหมาะสมกับการเพาะปลูกองุ่นทั้งสองสายพันธุ์หลักในการผลิตไวน์ชนิดนี้ ซึ่งได้แก่ Cabernet Franc และ Merlot โดยองุ่นทั้งสองสายพันธุ์นี้จะมีการใช้อัตราส่วนที่แตกต่างกันในแต่ละปีที่มีการผลิตไวน์นี้ขึ้นมา โดยองุ่นทั้งสองนั้นจะถูกนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กพันธุ์เยี่ยมจากฝรั่งเศสเป็นเวลายาวนานระหว่าง 18-24 เดือน
ซึ่งไวน์ชนิดนี้ไม่ได้มีความน่าสนใจเพียงแค่การคัดสรรวัตถุดิบและกรรมวิธีที่ผลิต แต่ว่าไวน์ชนิดนี้ยังมีสีของเนื้อสัมผัสเป็นสีแดงเข้ม รวมทั้งยังมีกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่เหมือนกัน ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นและรสชาติของผลไม้สีดำหลากชนิด ผสานกันกับชะเอมเทศ เมล็ดกาแฟและลูกพลัมที่ช่วยให้เหล้าชนิดนี้มีรสชาติที่กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
ด้วยรสชาติและกลิ่นของไวน์ที่เต็มไปด้วยผลไม้ ไม่ว่าจะทั้งกลิ่นและรสชาติ บวกกับระดับของปริมาณแอลกอฮอล์ของไวน์นี้ที่อยู่ที่ 13-14% ซึ่งนับได้ว่าไม่มากเกินไปสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป เหมาะกับดื่มสำหรับนักดื่มมือใหม่ได้อย่างดี นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีดอย่างเนื้อไก่และเนื้อเป็ด โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่จะมีรสชาติดีเมื่อเก็บไว้ที่ประมาณ 4-6 ปี สำหรับแบบทั่วไปและประมาณ 5-12 ปีสำหรับแบบวินเทจ รวมทั้งยังสามารถใช้อุณหภูมิในการเก็บรักษาที่ 15.5 องศาเซลเซียส หรืออยู่ที่ 60 องศาฟาเรนไฮต์สำหรับช่วยรักษาไวน์นี้
Chateau Beauregard Pomerol
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Hardy’s Stamp Moscato นับได้ว่าเป็นไวน์ขาวชั้นเยี่ยมที่ถูกสร้างสรรค์และส่งตรงมาจากแบรนด์ไวน์และโรงกลั่นไวน์ชื่อดังอย่าง Hardy’s ซึ่งเป็นโรงกลั่นไวน์ที่มีชื่อเสียงและมีการส่งออกอย่างกว้างขวางจากบริเวณทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย โดยสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการกลั่นไวน์และเพาะปลูกองุ่นหลากหลายชนิด
โดยองุ่นที่มีการผลิตในบริเวณทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลียนั้นมีมากมายหลายชนิดและสายพันธุ์ด้วยกัน เนื่องจากสภาพอากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่นและเหมาะสมกับการเติบโตของพันธุ์องุ่น ไม่ว่าจะเป็นองุ่นสายพันธุ์ Shiraz, Cabernet Sauvignon, Merlot, Sauvignon Blanc และองุ่นสายพันธุ์ Chardonnay ที่มีชื่อเสียงและนิยมนการผลิตไวน์ แต่ว่าองุ่นที่ทางผู้ผลิตมุ่งเน้นและให้ความสำคัญคือองุ่นสายพันธุ์ Muscat หรือ Moscato Blanco มาใช้เป็นอัตราส่วนเกือบทั้งหมดในการผลิต เนื่องจากเป็นองุ่นที่หาง่าย แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาใช้ไวน์ โดยอัตราส่วนจริงที่ใช้ในการผลิตนั้นได้แก่ Muscat 98% และองุ่นสายพันธุ์ Chardonnay อยู่ที่ 2%
ซึ่งไวน์ขาวชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีสีของเนื้อสัมผัส กลิ่นและรสชาติที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง ทั้งสีของไวน์ขาวเป็นสีขาวฟางข้าวสวยงาม ค่อนข้างมีความใสอยู่สมควรอย่างที่ไวน์ขาวควรจะเป็น นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่เต็มไปด้วยผลเชอร์รี่และผลเคอร์แรนสีดำซึ่งนำมาในตอนแรก และตามมาด้วยกลิ่นของเครื่องเทศ จำพวกอบเชย พริกไทยขาว และ ใบโหระพา แต่ว่ารสชาติกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีความสมดุลอย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งยังมีความหวานจากวานิลลาและขนมปังปิ้งก็ว่าได้
ในภาพรวมนับได้ว่าไวน์ขาวชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าไวน์ชนิดนี้จะมีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทั้งกลิ่นที่หอมหวานและฉุนเครื่องเทศ แต่ว่ารสชาติกลับมีความหวานอย่างสมดุล ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่เหมาะสมกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่เผ็ดร้อน และมีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 6% ด้วยเช่นเดียวกัน
Hardy’s Stamp Moscato
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Barton & Guestier Chateauneuf-du-Pape นับได้ว่าเป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์และโรงกลั่นไวน์ชื่อดังอย่างBarton & Guestier ซึ่งมีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในย่านชุมชน Rhone Valley ใน Bordeaux ของประเทศฝรั่งเศสที่มีความเลื่องชื่อในการส่งออกไวน์ระดับต้นๆของโลก
ด้วยกรรมวิธีที่ค่อนข้างละเอียดและซับซ้อนในกรรมวิธีการผลิต ทำให้ไวน์ชนิดนี้มีเสน่ห์อย่างหาได้ยาก เริ่มแรกไวน์นี้จะมีการนำองุ่นทั้งสองสายพันธุ์มาใช้ในการผลิต ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Syrah และ Grenache มาใช้ในอัตราส่วนอย่างละครึ่ง ซึ่งองุ่นทั้งสองสายพันธุ์เป็นองุ่นที่มีความนิยมในการเพาะปลูกบริเวณแถบ Bordeaux อย่างมาก เนื่องจากองุ่นทั้งสองสายพันธุ์นี้จะเติบโตได้ง่ายในสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีพระอาทิตย์และความร้อนระดับปานกลาง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีการนำองุ่นทั้งหมดมาบ่มในอุณหภูมิที่สูงมาก ประมาณ 30-35 องศาเซลเซียส แล้วนำไปหมักในถังโอ๊กเป็นเวลายาวนานกว่า 9 เดือน
นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีสีของเนื้อสัมผัสที่น่าดึงดูด ด้วยสีแดงเข้มเคลือบด้วยเงาที่แวววาวรอบขวดเป็นสีม่วงสกาว และไวน์นี้ยังมีกลิ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้สีดำหลากหลายยชนิดที่ผสมรวมกับเครื่องเทศ โดยเครื่องเทศที่มีกลิ่นโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษคือกลิ่นของพริกไทยดำ นอกเหนือจากนี้ไวน์นี้ยังมีรสชาติของผลไม้อย่างเต็มเปี่ยมที่ระเบิดออกมาเต็มปาเต็มคำอย่างสมดุลอย่างยิ่ง
ในภาพรวมนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ผลไม้เป็นหลัก ไม่ใช่เพียงแค่กลิ่นเท่านั้น แต่รสชาติก็ยังมีความเป็นผลไม้อยู่มากอีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่รักในการผลไม้เป็นชีวิตจิตไจ และเหมาะกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อแกะ เนื้อหมูและเนื้อสัตว์ปีก เช่นเนื้อเป็ดและเนื้อไก่ นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 13.5-14.5% ด้วยเช่นกัน
Barton & Guestier Chateauneuf-du-Pape
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Chateau Francs Magnus Bordeaux เป้นไวน์แดงที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์และบริษัทผลิตไวน์ชื่อดังอย่าง Chateau Francs Magnus ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้ดินแดนชื่อดังในการผลิตไวน์แดงอย่างชุมชน Bordeaux Superieur ใน เมือง Bordeaux ของประเทศฝรั่งเศส
โดยไวน์แดงชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีการผลิตขึ้นมาโดยการนำองุ่นที่ใช้ในการผลิตไวน์แดงทั้งสองสายพันธุ์อย่าง Merlot 90% และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Franc 10% มาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก โดยอัตราส่วนขององุ่นทั้งสองนั้นแตกต่างกัน ซึ่งองุ่นทั้งสองสายพันธุ์นี้จะถูกนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กพันธุ์ดีจากฝรั่งเศส โดยจะทยอยใส่ไปทีละ 30-40% ขององุ่นทั้งมหดในแต่ละครั้งตามปริมาณสารแทนนินที่มีในแต่ละครั้งเป็นเวลายาวนานกว่า 12-14 เดือนด้วยกัน
ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีสีของเนื้อสัมผัสเป็นสีแดงไปทางสีดำหมึก รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่เต็มไปด้วยกลิ่นที่หอมหวานและมีความทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง โดยในช่วงแรกนั้นไวน์ชนิดนี้จะมีกลิ่นและรสชาติของผลไม้จำพวกผลเคอร์แรนสีดำและผลเบอร์รี่สีดำที่บดลพเอียด หลังจากนั้นจะมีกลิ่นอายและรสสัมผัสของดอกไม้ ลูกสนและสารแทนนินตามมา
ในภาพรวมนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์แดงที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างทรงพลังและหอมหวานไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะกับการรับประทานที่มีส่วนผสมของอาหารจำพวกเนื้อวัวและเนื้อกวาง รวมทั้งยังมีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 13.5%.
Chateau Francs Magnus Bordeaux
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Château Latour-Martillac Red Wine เป็นไวน์ที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยแบรนด์และบริษัทไวน์ชื่อดังอย่าง Château Latour-Martillac โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์แดงที่มีการถูกผลิตขึ้นมาจากโรงกลั่นไวน์ในPassac-Leognan เมือง Bodeaux ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสถานที่แห่งนี้นับได้วาเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการผลิตไวน์หลากหลายชนิด โดยเฉพาะไวน์ที่มีการใช้องุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นส่วนผสมหลัก
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นทั้งสามสายพันธุ์มาเป็นวัตถุดิบหลักในกรรมวิธีการผลิตในครั้งนี้ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 66%, Merlot 27% และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot 7% โดยองุ่นทั้งสามสายพันธุ์จะต้องมีการเก็บเกี่ยวในช่วงต้นเดือนกันยายนจนถึงกลางเดือนตุลาคมเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ องุ่นทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตไวน์ชนิดนี้จะต้องมีการนำมาหมักลงในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใบใหม่เป็นเวลายาวนานกว่า 12 เดือน
ซึ่งไวน์แดงชนิดนี้เป็นไวน์แดงที่มีกลิ่นที่ค่อนข้างหวานและเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกลิ่นที่หวานนั้นมาจากส้มสายน้ำผึ้งและความเปรี้ยวนั้นมาจากผลส้มไซตรัส และรสชาติของไวน์ก็นับได้ว่าค่อนข้างหวานเลยทีเดียว เป็นความหวานที่มาจากรสสัมผัสของน้ำผลไม้ น้ำองุ่น ส้มและเปลือกเลม่อน
ในภาพรวมนับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่มีเอกลักษณ์ที่ความสดใหม่ ทั้งหวานและเปรี้ยวอันเนื่องมาจากผลส้มไซตรัส ส้มสายน้ำผึงและเลม่อน ซึ่งไวน์จะมีรสชาติอร่อยมากยิ่งขึ้นเมื่อมีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยไวน์ชนิดนี้เหมาะกับการรับประทานควบคู่กับอาหารจำพวกเนื้อวัว เห็ด พาสต้า เนื้อกวาง เนื้อเป็ด ไก่ย่างและไก่รมควัน รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีปริมาณของแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 13-14.7% และควรเก็บรักษาไวน์นี้ไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 16-18 องศาเซลเซียส หรืออยู่ที่ประมาณ 61-64 องศาฟาเรนไฮต์
Château Latour-Martillac Red Wine
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Piccini 1882 นับได้ว่าเป็นไวน์ขาวหายากที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ขาวชื่อดังอย่างTenute Piccini ซึ่งเป็นไวน์ขาวที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ผลิตไวน์ขาว Tuscan ของประเทศอิตาลี ซึ่งได้มีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมในการผลิตไวน์ขาวจากภูมิปัญญาพื้นบ้านของชุมชน โดยสถานที่นี้ได้ถูกสร้างและก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882
ไวน์ขาวชนิดนี้เป็นไวน์ขาวที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยการผสมผสานระหว่างกรรมวิธีชั้นยอดของประเทศอิตาลี กับความสดใหม่ขององุ่นทั้งสองสายพันธุ์ที่สำคัญในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Glera 75% และองุ่นสายพันธุ์ Chardonnay 25% ซึ่งนับได้ว่าเป็นองุ่นที่ค่อนข้างหายากอยู่พอสมควร
โดยไวน์ขาวชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ขาวที่มีฟองสวยงาม หรือเรียกว่าเป็นไวน์ขาวแบบ Sparkling ซึ่งเป็นไวน์ที่มีสีของเนื้อสัมผัสเป็นสีทองนวลหรือสีทองจาง ที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างชัดเจนและมีฟองสบู่เล็กๆเคลื่อนที่รอบพื้นผิวไวน์ขาวอย่างดี นอกจากนี้ไวน์ขาวชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่เต็มไปด้วยผลแอปเปิลเขียวที่สุกพอดี ผสานกลิ่นกันกับกลิ่นของเปลือกเลม่อนและกลิ่นของดอกส้มสายน้ำผึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสชาติที่ค่อนข้างแห้งแต่ไม่ได้แห้งมากจนเกินไป มีทั้งความเปรี้ยวของผลเลม่อนที่ผสานกันกับความวหานจากน้ำผึ้ง แอปเปิลดอกไม้ที่ค่อนข้างแก่นิดๆ
ในภาพรวมนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมและซับซ้อนแต่ก็มีความแห้งที่พอดิบพอดี ซึ่งคุ้มค่าเหมาะแก่การซื้อไว้ดื่มที่บ้านกับคนที่รัก นอกจากนี้ไวน์ขาวชนิดนี้ยังเป็นไวน์ขาวหายากที่เหมาะกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารทะเล โดยเฉพาะปูและกุ้งลอบสเตอร์ ซึ่งไวน์ขาวชนิดนี้เป็นไวน์ขาวที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 11%
Piccini 1882
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!