Isabella Islay

Isabella Islay

            Isabella Islay นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นเยี่ยมที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่มีราคาสูงที่สุดในโลกมานานนับหลายทศวรรษด้วยกัน เนื่องด้วยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าวิสกี้ที่มีรูปร่างของบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่นด้วยขวดเหล้าที่งดงามราวกับเพชรและอัญมณีสีขาวนวลผสานเงินสะดุดตา บวกกันกับลวดลายวิจิตรที่ประดับอยู่บนตัวภาชนะที่มีราคาอย่างคริสตัล ทำให้เหล้านี้เป็นที่สนใจของนักดื่มมากมายทั่วโลก ซึ่งนับได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของผู้ผลิตอย่าง Isabella Islay

            โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ.2011 ซึ่งเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นการนำกลิ่นอายและลักษณะที่โดดเด่นของความคลาสสิก ความงดงามของศิลปะ ความร่วมสมัยและประสบการณ์อันยาวนานของผู้ผลิตมาเป็นเหล้าชนิดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ในส่วนของการออกแบบเหล้าวิสกี้นั้น มีการแสดงออกถึงลักษณะของความเรียบหรูดูมีราคาของเหล้าวิสกี้ชนิดนี้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการที่นำวัสดุราคาแพงมากมายมาใช้ในการผลิตขวดบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ทองคำ เพชร ทับทิม และคริสตัล ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อนำมาผสมรวมกันแล้วกลับกลายเป็นว่าตัวบรรจุภัณฑ์กลับงดงามอย่างดี

            ซึ่งเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่ลักษณะภายนอกหรือบรรจุภัณฑ์เพียงเท่านั้น แต่ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังมีมนต์เสน่ห์ที่น่าดึงดูดจากกลิ่นอายที่ให้บรรยากาศของความเป็นหมู่เกาะ Islay ในแถบบริเวณยุโรปได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นลักษณะที่เกิดจากการหมักของเหล้าสกอตแบบดั้งเดิมที่มีอายุของเหล้ายาวนานกว่า 40 ปีที่ผสานกันกับเหล้าสูตรพิเศษจากหมู่เกาะ Islay ที่มีอายุของเหล้ายาวนานกว่า 10 ปีเป็นเวลานานหลายปีก่อนที่จะนำมาบรรจุภัณฑ์

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าวิสกี้ที่มีมนต์เสน่ห์สมราคาและฉายาที่คนในวงการเหล้าวิสกี้ต่างเรียกขานกันว่าเป็น “ราชินีแห่งหมู่เกาะเฮบริดจ์ (Queen of Hebrides)” ซึ่งเป็นหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสกอตแลนด์ที่มีจำนวนเกาะน้อยใหญ่มากกว่าร้อยเกาะด้วยกัน บวกกันกับราคาขายของเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ที่มีราคาขายมากถึง 6,200,00 ดอลลาร์สหรัฐ หรืออยู่ที่ประมาณมากกว่าสองร้อยล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นตำนานเหล้าวิสกี้ที่มีชื่อเสียงและเป็นความฝันของใครหลายคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ต้องการลิ้มลองรสชาติของเหล้านี้สักครั้งในชีวิต

Isabella Islay

Isabella Islay

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Lapostolle Clos Apalta

Lapostolle Clos Apalta

ไวน์แดงชิลีชั้นเลิศ ที่มีต้นกำเนิดมาจากหมู่บ้านทางตอนเหนือของหุบเขาราเพล์ ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตผลิตไวน์ เซนทรัล แวลลีย์ และมีการผลิตไวน์ถึง 1ใน 4 ของไวน์ชิลีทั้งหมด

Ingredient

ไวน์ชนิดนี้มีส่วนผสมของ BLEND. 48% Carmenère, 31% Cabernet Sauvignon and 21% Merlot

Food + taste + temperature

อุณหภูมิสำหรับไวน์นี้จะอยู่ที่ 16°C และ 17°C จะมีรสชาติดีที่สุด รสชาติเข้มข้น ให้ความสดชื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟและช๊อคโกแลต หากทานคู่กับ สเต๊กเนื้อวัว เนื้อแกะหรือเนื้อแดดเดียว จะเพิ่มรสชาติให้ทั้งอาหารและไวน์ขึ้นไปอีกระดับ

Ending

ให้คุณอัพเกรดบรรยากาศการทานอาหารด้วยไวน์เลิศล้ำจากประเทศชิลี

Lapostolle Clos Apalta

Lapostolle Clos Apalta

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Balvenie 1970 Vintage Cask

Balvenie 1970 Vintage Cask

            Balvenie 1970 Vintage Cask นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังและมีชื่อเสียงเป็นระดับแถวหน้าของโลกอย่าง Balvenie ที่มีถิ่นฐานการผลิตหลักอยู่ที่ย่านชุมชนที่มีชื่อเสียงในการผลิตเหล้าวิสกี้อย่าง Speyside ของประเทศสกอตแลนด์ในสหราชอาณาจักร

            โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าวิสกี้ที่มีการใช้สูตรการผลิตเหล้าวิสกี้จากต้นตำรับของชาวชุมชนย่าน Speyside ที่มีประสบการณ์ในการผลิตเหล้าวิสกี้มานานนับร้อยกว่าปี และสูตรการผลิตเหล่านั้นก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงเวลาปัจจุบัน โดยวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตเหล้าวิสกี้นั้น ทางผู้ผลิตได้เลือกสรรวัตถุดิบ ได้แก่ ข้าวบาร์เลย์แท้ 100% หรือที่คนในวงการเหล้าวิสกี้ต่างล้วนรู้จักกันในนาม “ซิงเกิล มอลต์” หรือ “Single Malt” มาใช้ในกระบวนการผลิตเหล้าวิสกี้นี้ โดยวัตถุดิบนั้นจะนำไปหมักลงในถังไม้เก่าแบบวินเทจ 1970 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเหล้าชนิดนี้ก็ยังเป็นเหล้าที่มีอายุของเหล้าอยู่ที่ประมาณ 30 ปีอีกด้วย

            ซึ่งเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่มีคุณลักษณะที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมและน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง โดยในส่วนของเนื้อสัมผัสนั้นนับได้ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าวิสกี้ที่มีสีเหลืองเข้มอมน้ำตาลสวยงามอย่างยิ่ง บวกกันกับเหล้าที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของเหล้าที่ค่อนข้างหอมหวานราวกับขนมฟัดจ์ผสมน้ำผึ้งที่ให้กลิ่นอายของความหวานที่นุ่มนวล บวกกันกับกลิ่นของดอกไม้ที่หอมหวาน ซับซ้อนและน่าค้นหา นอกจากนี้เหล้าวิสกี้ชนิดนี้กลับมีรสชาติที่ค่อนข้างแตกต่างจากกลิ่นอยู่พอสมควร โดยในส่วนของรสชาตินั้นกลับมีควาเข้มข้นที่ค่อนข้างสูง มีความหวานและความซับซ้อนในรสสัมผัสของชะเอมเทศและน้ำผึ้งหวาน

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป้นเหล้าวิสกี้ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ทั้งกลิ่นอายของความนุ่มนวล ความซับซ้อนของดอกไม้ น้ำผึ้งและผลส้มที่เข้ากันได้อย่างลงตัว นอกเหนือจากนี้เหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังเป็นเหล้าวิสกี้ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 52.8% ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับเหล้าวิสกี้ทั่วไป

Balvenie 1970 Vintage Cask

Balvenie 1970 Vintage Cask

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Chateau L’Evangile Pomerol

Chateau L’Evangile Pomerol

            Chateau L’Evangile Pomerol นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และการผลิตขึ้นมาภายใต้ชื่อของแบรนด์ไวน์ที่มีชื่อเสียงเป็นระดับแถวหน้าของทวีปยุโรปอย่าง Chateau L’Evangile ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ถือว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการนำสถาปัตยกรรมเก่าแก่อย่างคฤหาสน์ Chateau L’Evangile มาใช้ โดยคฤหาสน์นี้มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ Pomerol ที่อยู่ในเมือง Libournais ของเมืองใหญ่อย่าง Bordeaux ที่เป็นเมืองแหล่งการผลิตไวน์ที่ทรงคุณค่าระดับโลกของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทั้งสถานที่อย่างเช่นคฤหาสน์และชื่อเมืองนั้นก็ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อไวน์ด้วยเช่นกัน

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นทั้งสามสายพันธุ์ที่มีการเพาะปลูกในบริเวณเขตแดนของคฤหาสน์มาใช้ โดยการนำมาใช้นั้นทางผู้ผลิตจะนำองุ่นมาใช้ในอัตราส่วนที่แตกต่างกันตามชนิดขององุ่นเอง ซึ่งสายพันธุ์ทั้งสามที่ทางผู้ผลิตนำมาใช้นั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot 85%, Cabernet Franc 16% และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% ซึ่งองุ่นทั้งหมดนั้นทางผู้ผลิตจะนำลงไปหมักลงในถังไม้โอ๊กสายพันธุ์ฝรั่งเศสชั้นเยี่ยมที่เป็นใบใหม่กว่า 70% เป็นระยะเวลายาวนานกว่า18 เดือน ซึ่งถังไม้ที่ใช้นั้นควรที่จะเป้นถังปิดอย่างดี

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์องุ่นที่สามารถถ่ายทอดความเป็นไวน์ชั้นเยี่ยมคุณภาพดีได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสีของเนื้อสัมผัสที่แน่นอนว่าจะต้องออกมาเป็นสีแดงสดที่เข้ามลึกสวยงามอย่างยิ่ง รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่กลิ่นอายของบรรยากาศความนุ่มนวลและหวานหอมจากดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต ชะเอมเทศ ครีมและลูกพลัมสุกที่เข้ากันได้อย่างดี โดยเฉพาะลูกพลัมกับชะเอมเทศที่จะค่อนข้างโดดเด่นเป็นพิเศษเหนือองค์ประกอบอื่นออกมา

ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการนำมนต์เสน่ห์ของชะเอมเทศและลูกพลัมสุก รวมทั้งดอกกุหลาบและช็อกโกแลตทั้งจากกลิ่นและรสชาติได้เป็นอย่างดี นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีทั้งความนุ่มนวล เบาบางและเข้ากันได้อย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานไวน์ชนิดนี้ควบคู่กับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 13-15.5% โดยถ้าเก็บไวน์ชนิดนี้ไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 15.5 องศาเซลเซียสหรืออยู่ที่ประมาณ 60 องศาฟาเรนไฮต์อีกด้วยเช่นกัน

Chateau L'Evangile Pomerol

Chateau L’Evangile Pomerol

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Penfolds Block 42 Kalimna Cabernet Sauvignon Ampoule

Penfolds Block 42 Kalimna Cabernet Sauvignon Ampoule

            Penfolds Block 42 Kalimna Cabernet Sauvignon Ampoule นับได้ว่าเป็นไวน์ชื่อดังและมีการผลิตหรือถูกสร้างสรรค์มาจากแบรนด์ไวน์ที่มีฐานการตลาดเป็นจำนวนที่สูงมากในระดับแนวหน้าของโลกอย่าง Penfolds โดยแบรนด์ไวน์ชนิดนี้เป็นแบรนด์ไวน์ยอดนิยมในหมู่นักดื่มทั่วทุกภูมิภาค และแบรนด์นี้ก็ได้มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่หมู่บ้านย่านชุมชน Barossa Valley ที่นับได้ว่าเป็นกำลังผลิตไวน์ที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตัวหมู่บ้านนี้จะอยู่ทางด้านตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีราคาการขายที่แพงมากที่สุดจากประเทศออสเตรเลีย อันเนื่องมาจากไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการผลิตเพียงแค่หนึ่งใน 12 รุ่นจาก Penfolds เท่านั้น อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์รุ่น Limited Edition ที่ทางแบรนด์ไวน์จัดทำขึ้น เนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองให้กับนักปรุงไวน์ฝีมือเยี่ยมอย่าง Ampoule อีกด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวไวน์ชนิดนี้นั้นจะเป็นการนำองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon แท้ 100% มาใช้ โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะนำจะถูกเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น เพื่อให้รสชาติของไวน์ที่ดีเยี่ยม โดยทางผู้ผลิตจะนิยมเก็บเกี่ยวองุ่นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นทางผู้ผลิตจะนำองุ่นทั้งหมดไปหมักลงในถังไม้โอ๊กขนาด 300 ลิตรก่อนประมาณหนึ่ง หลังจากนั้นทางผู้ผลิตจะนำองุ่นที่ผ่านการหมักไปลงในถังไม้บาร์เรลเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 13 เดือนก่อนที่จะนำไปบรรจุขวด

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะของไวน์ที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไวน์ชนิดนี้จะมีความพิเศษเริ่มแรกจากขวดบรรจุภัณฑ์ที่มีความสวยงามแปลกใหม่กว่าขวดไวน์ชนิดอื่นๆ บวกกันกับลักษณะของเนื้อสัมผัสของไวน์ที่โดดเด่นกว่าไวน์อื่นเช่นกัน เริ่มต้นด้วยสีของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเป็นสีแดงเข้มสวยงาม ดูมีมิติ อีกทั้งกลิ่นของไวน์นั้นก็จะมีความเข้มข้นและมีลักษณะเด่นมาจากผลเคอร์แรนสีดำ ช็อกโกแลตและชะเอมเทศ นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีรสชาติของไวน์ที่รสชาติยอดเยี่ยม มีความเปรี้ยวเล็กน้อยจากสารแทนนินที่ผสานกันได้อย่างดี มีทั้งมิติความลึกและระยะเวลาสัมผัสที่ติดลิ้นอย่างยาวนาน

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่ดีเยี่ยมเป็นอย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นจากสารแทนนินที่ค่อนข้างเปรี้ยวนิดๆ บวกกันกับความเข้มข้นที่หวานหอมจากผลเคอร์แรนสีดำ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัวและเนื้อกวางอีกด้วย

Penfolds Block 42 Kalimna Cabernet Sauvignon Ampoule

Penfolds Block 42 Kalimna Cabernet Sauvignon Ampoule

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Domaine Leroy Musigny Grand Cru

Domaine Leroy Musigny Grand Cru

            Domaine Leroy Musigny Grand Cru นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เจรจาแห่งทวีปยุโรป รวมทั้งยังเป็นแบรนด์ไวน์ระดับต้นๆที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ที่ย่านชุมชน Musigny Grand Cru ใน Cote de Nuits ของเมือง Bourgogne ของประเทศฝรั่งเศสอย่าง Domaine Leroy แต่ว่าทางแบรนด์ไวน์นี้กลับไม่ใช่ชาวท้องถิ่นแท้ แต่ว่าเป็นชาวเมือง Burgundy มาก่อน รวมทั้งยังเป็นไร่องุ่นที่ถือว่าเป้นหัวใจหลักของชาว Burgundy ด้วยเช่นกัน โดยชื่อของ Musigny นั้น สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า ชุมชน Le Musigny

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก ตั้งแต่การเพาะปลูก การเลือกสภาพแวดล้อมรวมไปถึงการเก็บเกี่ยวและการหมักก็มีความประณีตเช่นเดียวกัน โดยไวน์ชนิดนี้ทางผู้ผลิตได้มีการเลือกสรรองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir แท้ 100% มาใช้ในกระบวนการผลิต โดยองุ่นที่นำมาใช้นั้นจะต้องเป็นองุ่นที่มีการเพาะปลูกในดินแดน Maria Thun หรือเป็นไร่องุ่นที่มีการใช้ปุ๋ยคอกเป็นวัตถุดิบหลักเป็นระยะวเลานานกว่าหนึ่งปีด้วยกัน รวมทั้งองุ่นจะต้องใช้ของไร่องุ่นของแบรนด์ไวน์นี้เท่านั้น ไม่มีการนำองุ่นจากไร่องุ่นภายนอกมาใช้ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของไวน์นี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทางผู้ผลิตจะสามารถทำได้ บวกกันกับการเก็บเกี่ยวองุ่นด้วยการใช้มือเปล่าในการเก็บเกี่ยวเท่านั้น โดยองุ่นจะใส่ลงในถังขนาดเล็ก เพื่อไม่ให้มีการทับถมหรือกดทับองุ่นมากจนเกินไป รวมทั้งองุ่นทั้งหมดจะนำไปหมักลงในถังที่เก็บไว้ในถ้ำอย่างดีทั้งหมดสองครั้งด้วยกัน ซึ่งครั้งแรกจะค่อยๆปล่อยให้เกิดการหมักและบ่มอย่างช้าๆและยาวนาน หลังจากนั้นก็จะนำไปหมักลงในถังที่สอง ซึ่งถังที่สองนั้นจะมีการใช้อุณหภูมิที่เย็นมากกว่าและตัวถังจะมีความลึกมากกว่า

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะที่ค่อนข้างโดดเด่นไม่แตกต่างจากกรมวิธีการผลิตที่ค่อนข้างประณีตกว่าไวน์ชนิดอื่นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสีของเนื้อสัมผัสที่เป็นสีแดงสดที่มีความโดดเด่นของไวน์ที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของความคลาสสิกและความเผ็ดร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่ค่อนข้างเต็มไปด้วยองค์ประกอบหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สีแดงหลากหลายชนิด ทั้งผลเชอร์รี่สีแดงหรือผลราสเบอร์รี่ อีกั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติของมอคคา มะพร้าว และเครื่องเทศมากมายผสานกันได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผลไม้สีแดง เช่น ผลเชอร์รี่สีแดงและราสเบอร์รี่สีแดงที่ค่อนข้างโดดเด่นเหนือองค์ประกอบอื่นเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีเครื่องเทศ มะพร้าว มอคค่าผสานกันอยู่ทำให้รสชาติและกลิ่นของไวน์นั้นดีเยี่ยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งในการนำไวน์นี้รับประทานควบคู่กับอาหารที่มีองค์ประกอบของเนื้อวัว เครื่องในสัตว์ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด

Domaine Leroy Musigny Grand Cru

Domaine Leroy Musigny Grand Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Screaming Eagle Cabernet Sauvignon Oakville

Screaming Eagle Cabernet Sauvignon Oakville

            Screaming Eagle Cabernet Sauvignon Oakville นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และมีการผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังระดับแถวหน้าของโลกอย่าง Screaming Eagle ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดไวน์ที่มีคุณภาพที่มีแหล่งการผลิตและเพาะปลูกเป็นของตัวเองที่อยู่ในย่านชุมชน Oakville ที่อยู่ในหมู่บ้าน Napa Valley ของเขตแดนภูมิภาค Napa ทางด้านชายฝั่งทางตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการในการผลิตที่ค่อนข้างไม่ซับซ้อนมาก โดยทางผู้ผลิตมีการนำองุ่นทั้งสามสายพันธุ์มาใช้ในกระบวนการผลิต โดยองุ่นที่นำมาใช้นั้นจะใช้ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ องุ่นสายพันธุ์ Merlot 65%, Cabernet Sauvignon 22% และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Franc 18% อีกด้วยเช่นกัน และองุ่นทั้งหมดนั้นจะนำไปหมักและบ่มลงในถังแสตนเลสสอย่างดี

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้วาเป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นตุณลักษณะทางด้าน กลิ่น สี เนื้อสัมผัส และรสชาติอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสีของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเป็นสีแดงสดผสานกันกับสีแดงดำราวกับสีของควันได้เป็นอย่างดี บวกกันกับไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่ค่อนข้างสดและมีลักษณะของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเฉอะฉะในตอนช่วงแรก แต่ตัวไวน์กลับมีลักษณะที่น่าดึงดูดจากความสดใหม่ที่ถ่ายทอดความหวานออกมาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งกลิ่นของไวน์ที่มีกลิ่นที่หอมของผลไม้สีดำและผลไม้สีน้ำเงินหลากหลายประเภท โดยเฉพาะกลิ่นของผลเบอร์รี่สีดำที่โดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นของดอกไม้และแอปเปิลสีเขียวที่แทรกมาช่วงส่งเสริมให้ไวน์นี้มีมนต์เสน่ห์มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มเนื้อ มีรสชาติเปรี้ยวนิดๆและมีความสดชื่นอย่างดีอีกด้วย

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งกลิ่นและรสชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผลไม้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลไม้สีดำและสีน้ำเงิน เช่น ผลเบอร์รี่สีดำที่จะค่อนข้างโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีกลิ่นและรสชาติของแอปเปิลเขียวและดอกไม้นานาพันธุ์ช่วยส่งเสริมไวน์นี้ให้ดูดีมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่ไวน์ชนิดนี้จะถูกรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อแกะ เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด หรือแม้กระทั่งชีสทั้งแบบผสมกับแบบเข้มข้นก็เหมาะสมอย่างยิ่งเช่นกัน นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.5% อีกด้วยเช่นกัน

Screaming Eagle Cabernet Sauvignon Oakville

Screaming Eagle Cabernet Sauvignon Oakville

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Domaine de la Romanee-Conti Pinot Noir

Domaine de la Romanee-Conti Pinot Noir

            Domaine de la Romanee-Conti Pinot Noir นับได้ว่าเป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์และผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ Domaine de la Romanee-Conti หรือที่มีตัวอักษรย่อและเรียกกันสั้นๆว่า DRC ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โดยแบรนด์ไวน์ชนิดนี้มีการก่อตั้งถิ่นฐานการผลิตขึ้นมาที่บริเวณเมือง Romanee-Conti Grand ที่เป็นสถานที่การเพาะปลูกไวน์ที่มีอุณหภูมิที่มีชื่อเสียงและมีคุณภาพแห่งหนึ่งที่อยู่ในเมืองVosne-Romandee ของเมืองย่อย Cote de Nuits ใน Bourgogne ของประเทศฝรั่งเศส

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ก็ยังนับได้ว่าเป็นไวน์แดงที่นำองุ่นเพียงแค่สายพันธุ์เดียวมาใช้ในการผลิตไวน์ชนิดนี้ โดยสายพันธุ์องุ่นที่นำมาใช้นั้น คือ องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir แท้ 100% มาใช้ในกระบวนการการผลิตในครั้งนี้ โดยองุ่นสายพันธุ์นี้นับได้ว่าเป็นสายพันธุ์องุ่นยอดนิยมที่นำมาใช้ในการผลิตไวน์แดง โดยเฉพาะองุ่นนี้จะมีการเพาะปลูกเป็นอย่างมากในเมือง Burgundy ที่อยู่ทางด้านตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งยังเป็นสายพันธุ์องุ่นที่มีชื่อเสียงเป็นระดับต้นของโลกเลยก็ว่าได้

            โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวนที่มีการถ่ายทอดคุณลักษณะของไวน์แดงชั้นเยี่ยมออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสีเนื้อสัมผัสของไวน์ที่เป็นสีแดงเข้มราวกับสีของผลเชอร์รี่สีดำ รวมทั้งกลิ่นของไวน์ที่เป็นกลิ่นที่ค่อนข้างหอมนวลด้วยกลิ่นของไวน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยผลเบอร์รี่ป่า นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสที่เอร็ดอร่อยอย่างยิ่งและสามารถดื่มได้ง่าย รสชาติดีอันเนื่องมาจากความเบาบางจากสารแทนนินและน้ำผลไม้ที่มีควาเปรี้ยวที่ผสานกับความหวานจากผลเชอร์รี่สีดำ ลูกพลัมและผลเบอร์รี่สีดำได้เป็นอย่างดีและลงตัว

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเป็นเบอร์รี่หลากหลายชนิดอย่างชัดเจน ทั้งผลเบอร์รี่ป่า เบอร์รี่สีดำ เชอร์รี่สีดำ ลูกพลัมหรือผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ซึ่งเป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำไวน์นี้ไปรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ดและเครื่องในสัตว์ นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 13.5% ด้วยเช่นกัน

Domaine de la Romanee-Conti Pinot Noir

Domaine de la Romanee-Conti Pinot Noir

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Chateau Mouton Rothschild Pauillac

Chateau Mouton Rothschild Pauillac

            Chateau Mouton Rothschild Pauillac นับได้ว่าเป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์ไวน์ชื่อดังในทวีปยุโรปอย่าง Chateau Mouton Rothschild ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการนำคฤหาสน์เก่าแก่ที่มีชื่อเดียวกันกับสถาปัตยกรรมมาใช้ โดยแบรนด์ไวน์ชนิดนี้มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในย่านชุมชน Pauillacซึ่งเป็นย่านชุมชนที่อยู่ในเมือง Medoc โดยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Bordeaux ประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการผลิตไวน์เป็นระดับแถวหน้าของโลก รวมไปถึงไวน์ที่ขายได้นั้นล้วงมีราคาที่สูงมากด้วยเช่นกัน

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นจำนวนสามสายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งสายพันธุ์องุ่นที่ใช้นั้นจะมีการใช้อัตราส่วนขององุ่นแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 90%, Merlot 9% และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot 1% โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะผ่านการนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กแท้พันธุ์ฝรั่งเศส 100% เป็นระยะเวลลายาวนานกว่า 19-22 เดือน ซึ่งสูตรที่ใช้นั้นนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำมาผลิตเป็นครั้งที่สองและมีมานานตั้งแต่ปี ค.ศ.1993

            โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีคุณลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงและมีมนต์เสน่ห์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสีของเนื้อสัมผัสที่เป็นสีแดงเข้มราวกับสีแดงเลือด บวกกันกับกลิ่นและรสสัมผัสของไวน์ที่มีกลิ่นที่หอมหวาน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของมิ้นท์ เครื่องเทศจากแถบเอเชีย ผลส้มเขียวหวาน และผลบอร์รี่สีดำที่แยกตัวเป็นชั้นอย่างชัดเจนทั้งส่วนของกลิ่นและรสชาติของไวน์ นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้อ มีทั้งความหวาน ความสดชื่นและความกลมกล่อมได้เป็นอย่างดียิ่ง

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง  ไม่ว่าจะเป้นกลิ่นและรสชาติของไวน์ที่ค่อนข้างมีความกลมกล่อม ความเต็มน้ำเต็มเนื้อ รวมไปถึงเอกลักษณ์ของไวน์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใบมิ้นท์ เครื่องเทศเอเชีย ส้มเขียวหวาน และผลเบอร์รี่สีดำที่แยกชั้นอย่างชัดเจนแต่กลับมีการผสานรสกันได้อย่างลงตัว ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวนืที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12.5-13.5% โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะต้องผ่านการค่อยๆรินและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-6 ชั่วโมง และถ้าเก็บไวน์ชนิดนี้ไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 15.5 องศาเซลเซียสหรืออยู่ที่ประมาณ 60 องศาฟาเรนไฮต์อีกด้วยเช่นกัน

Chateau Mouton Rothschild Pauillac

Chateau Mouton Rothschild Pauillac

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Schloss Johannisberg Grunlack Riesling Spatlese Rheingau

Schloss Johannisberg Grunlack Riesling Spatlese Rheingau

            Schloss Johannisberg Grunlack Riesling Spatlese Rheingau นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Weinbau-Domane Schloss Johannisbergซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการนำคฤหาสน์เก่าแก่ และยังเป็นสถาปัตยกรรมเดียวกันกับชื่อของแบรนด์ไวน์มาใช้เป็นสถานที่ในการผลิตไวน์ โดยสถานที่แห่งนี้ได้มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตอยู่ที่เมือง Rheingau ของประเทศเยอรมนี

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำวัตถุดิบที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Riesling มาใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งองุ่นชนิดนี้นอกจากคุณลักษณะที่มีผิวเคลือบที่เบาบางและมีกลิ่นหอมแล้ว องุ่นชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ไวน์นี้ อันเนื่องมาจากองุ่นชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ที่คฤหาสนืนี้สามารถเพาะปลูกได้เป็นที่แรกตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1720 อีกด้วย

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีมนต์เสน่ห์น่าดึงดูดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสี เนื้อสัมผัส กลิ่นและรสชาติของไวน์ที่น่าอภิรมย์เช่นเดียวกัน เริ่มแรกจากสีของเนื้อสัมผัสที่ไวน์ชนิดนี้จะมีสีขาวนวลสมกับเป็นไวน์ขาวชั้นดี รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบหลากหลายชนิดที่ผสานตัวกันอย่างชัดเจนตามสไตล์ของไวน์ประเภท Dessert.ที่จะเป็นไวน์ที่มีความหวานและความนวลกว่าไวน์ชนิดอื่นๆ โดยลักษณะเด่นของกลิ่นไวน์นี้คือกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ผสมผสานกันกับกลิ่นของสับปะรด เสาวรส น้ำผึ้งป่า เมล่อนและลูกพีทที่ค่อนข้างสุก นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีรสชาติที่นับได้ว่ามีความหวานในช่วงเริ่มต้นลิ้มลองอย่างดีและน่าดึงดูด หลังจากนั้นรสชาติของไวน์จะเริ่มถ่ายทอดความสดชื่นมากขึ้นและรสชาติจะค่อยๆทยอยสมดุลจนพอดีตัว ซึ่งรสชาติที่โดดเด่นของไวน์นี้คือ น้ำมะนาวและระยะเวลาสัมผัสที่ค่อนข้างติดลิ้นยาวนาน

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะเอกลักษณ์ของไวน์ที่มาจากดอกไม้หลากหลายชนิดที่ผสานกลิ่นกับรสชาติกับสับปะรด เสาวรส น้ำผึ้งป่า เมล่อน ลูกพีทสุกและน้ำมะนาวได้เป้นอย่างดี ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อหมู เนื้อสัตว์ทะเลที่ค่อนข้างมีเปลือกแข็งอย่างเนื้อกุ้งหรือเนื้อปู เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด เนื้อหมัก รวมไปถึงอาหารที่มีรสชาติเป็ดจัดจ้านก็เหมาะสมด้วยเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 7-8.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่น้อยมาก เมื่อเทียบกันกับไวน์ชนิดอื่นๆ

Schloss Johannisberg Grunlack Riesling Spatlese Rheingau

Schloss Johannisberg Grunlack Riesling Spatlese Rheingau

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

error: Content is protected !!