Le Macchiole Messorio
Le Macchiole Messorio
Le Macchiole Messorio เป็นไวน์แดง ผลิตขึ้นโดยใช้องุ่น Merlot เป็นสีน้ำเงินเข้ม จัดเป็นองุ่นที่สุกเร็วและเป็นอีกหนึ่งในพันธุ์หลักที่ใช้ในบอร์โดซ์ องุ่น Merlot นั้นถูกปลูกในรูปแบบสากล ซึ่งจะเก็บเกี่ยวในภายหลังเพื่อดึงเอาแทนนินและบอดี้ของไวน์ออกมามากขึ้นเพื่อความเข้มข้นของไวน์ Messorio ปี 2007 จัดได้ว่าเป็นอีกรุ่นที่โดดเด่น ในด้านของสัมผัสของผลไม้ที่สุกเต็มที่สมดุลกับโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน โดยมีกลิ่นของมอคคา กราไฟต์ ไม้โอ๊กฝรั่งเศส ชะเอมเทศ เป็นไวน์แดงที่เข้มข้นแต่ผสมความอ่อนโยนด้วยรสเชอร์รี่สีดำหวาน ประกอบกับแทนนินที่นุ่มเนียนและความเป็นกรดที่กลมกลืนกัน
Le Macchiole ผู้ผลิต Le Macchiole Messorio 2007 ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Bolgheri ของ Tuscany ที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์แดง IGT Toscana สามสายพันธุ์ Paleo, Messorio และ Scrio มักถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของประเภทที่ผลิตในอิตาลี
ซึ่งได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1983 โดยคู่รักหนุ่มสาว Eugenio Campolmi และ Cinzia Merli พวกเขาเปิดตัววินเทจครั้งแรกในปี 1987 โดยมีการเปิดตัวครั้งแรกของไวน์เรือธง Paleo ที่เปิดตัวในปี 1989 ในขณะนั้น Paleo เป็นส่วนผสมของบอร์โดซ์ แต่ในปี 1990 La Macchiole เริ่มก้าวไปสู่การผลิตไวน์ที่หลากหลายมากขึ้น โดย Paleo เริ่มต้นผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1989 ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 16 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน ในส่วนของไวน์สายพันธุ์ Messorio ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1994 โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน
Le Macchiole Messorio
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com
Chateau d’yquem Lur Saluces
Chateau d’yquem Lur Saluces
Chateau d’yquem Lur Saluces นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1855 Chateau d’Yquem ความพิเศษของไวน์ที่ถูกผลิตและเผยออกมาอย่างต่อเนื่องช่วยทำให้เป็นการสร้างมาตรฐานที่ดีสำหรับความเป็นเลิศในไวน์นี้ ไม่เหมือนไวน์อื่นใดในโลก รวมไปถึงการใช้ทั้งองุ่น Sauvignon Blanc และ Semillon อันเป็นพันธุ์องุ่นที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ไวน์ Sauternes ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นไวน์หวานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคือ จัดเป็นไวน์ที่มีผู้ค้นหามากที่สุดเลยก็ว่าได้ก็ถูกผลิตจากองุ่นเหล่านี้ออกมาเป็น Château d’Yquem นั่นเอง เป็นไวน์ที่ถูกขนานนามว่าเป็นไวน์ที่แพงและผลิตได้ยากที่สุดในโลกด้วย ในช่วงแรกของการเปิดตัว Chateau Yquem 1998 ไม่อนุญาตให้ชิมจากถัง และจะไม่ปล่อยออกมาจนกว่าจะครบห้าปีหลังจากปีเก็บเกี่ยวขององุ่นที่ใช้นำมาทำไวน์ Chateau Yquem 1998 ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังเช่นปี 1990, 1989 และ 1988 ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี มีกลิ่นหอมหวานของครีมบรูเล่ สับปะรด แอปริคอท และดอกไม้
สีของไวน์ในแก้วเป็นสีทองอ่อน ประกอบกับกลิ่นที่ชัดเจนของผลไม้สุก ได้แก่ พลัม แอปริคอท มะม่วง และผลไม้แห้งอย่างผลมะเดื่อ ลูกเกด ควินซ์ ตามด้วยกลิ่นผลไม้สีขาวหลากหลายชนิดดด้วยกัน ในส่วนของรสสัมผัสต่างๆภายในปากหลังจากชิมไวน์นั้น จะได้รับรู้ถึงความนุ่มนวลและโครงสร้างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไวน์นี้จะนำพาไปสู่ความสุขอันของรสชาติเข้มข้น ที่ซึ่งทุกอย่างได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว มีความกลมกลืน หรูหรา และความประณีตพร้อมๆ กัน
Château d’Yquem เป็นไวน์ Premier Cru Supérieur จาก Sauternes ภูมิภาค Gironde ทางตอนใต้ของไร่องุ่นบอร์โดซ์ที่รู้จักกันในชื่อ Graves ในการจำแนกไวน์บอร์กโดซ์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1855 Château d’Yquem เป็นไวน์เพียงแห่งเดียวที่ได้รับการจัดอันดับนี้ ซึ่งแสดงถึงการรับรู้ถึงความเหนือกว่าและราคาที่สูงกว่าไวน์ประเภทอื่นๆ ทั้งหมด ความสำเร็จของ Yquem ส่วนใหญ่เกิดจากวิธีการผลิตที่ เรียกว่า เน่าแบบผู้ดี หรือ Noble rot วิธีนี้ต้องมีตัวช่วย เป็นเชื้อราชื่อ Botrytis cinerea มีอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น เมื่อองุ่นสุกเชื้อราจะเกาะดูดน้ำจากลูกองุ่น จนเหลือแค่ผลองุ่นเหี่ยวแห้งกับน้ำตาลธรรมชาติเข้มข้น เอามาทำไวน์จะได้สุดยอดไวน์ รสหวานจัด กลิ่นหอม ราคาแพง ไวน์จาก Château d’Yquem มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยความซับซ้อน ความเข้มข้น และความหวาน ซึ่งสมดุลกันด้วยความเป็นกรดที่ค่อนข้างสูง ด้วยความระมัดระวังพอสมควรทำให้ขวดหนึ่งขวดจะเก็บรักษาไว้ได้นานนับศตวรรษหรือมากกว่า และรสหวือหวาของผลไม้จะค่อยๆ จางลงและผสานเข้ากับรสชาติต่างๆมากมายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
Chateau d’yquem Lur Saluces
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com
Yarden Viognier
Yarden Viognier
Yarden Viognier นั้นมาจากโรงกลั่นไวน์ Golan Heights ซึ่งทำจากองุ่น Viognier ที่ปลูกใน Odem Vineyard เป็นองุ่นพันธุ์แท้สำหรับผลิตไวน์ขาวที่ที่มีคุณภาพและมีรสชาติที่ซับซ้อน สีของไวน์ในแก้วไวน์นั้นจะส่องแสงเป็นสีเหลืองทองสดใสพร้อมเฉดสีระยิบระยับ ประกอบไปด้วยกลิ่นหอมที่ซับซ้อนของไวน์ บูเฆ่ของน้ำไวน์ที่เข้มข้นบ่งบอกถึงกลิ่นของพีช แอปริคอท ลูกแพร มะนาว ส้มแมนดาริน แตงโม และอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้สด เครื่องเทศและไม้โอ๊กฝรั่งเศส ในส่วนของรสสัมผัสต่างๆภายในปากหลังจากชิมไวน์นั้น ไวน์ขาวนี้มีความเข้มข้นระดับมีเดียมบอดี้(Medium-body) ซึ่งมีซับซ้อนของกลิ่นหอมที่ชวนให้หลงไหล เพื่อความดื่มด่ำและเพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร อาหารที่แนะนำควบคู่กับการดื่นไวน์ขาวจากไร่องุ่น Golan Heights ได้แก่ แกงไก่ครีม ไก่ในซอสแอปริคอตชั้นดี หรือกับชีสนุ่มๆ ทุกชนิด
ในส่วนของกระบวนการผลิตไวน์ของ Golan Heights ผลิตจากไร่องุ่นสำหรับองุ่น Viognier ตั้งอยู่ทางเหนือของที่ราบสูงโกลัน ซึ่งเป็นไร่องุ่นไวน์ที่สูงที่สุดในอิสราเอล ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร (ใกล้ถึง 4,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล เมื่อองุ่นถูกส่งมาถึงห้องเก็บไวน์ Golan Heights Winery แล้วองุ่นจะค่อยๆถูกบีบ และหมักในถังสแตนเลส (50%) และในถังไม้โอ๊คฝรั่งเศส (50%) ครึ่งหนึ่งถูกทิ้งไว้ในถังไม้โอ๊กเพื่อการบ่มและมีอายุ 4 เดือน การผสมผสานนี้ทำให้ไวน์มีความเข้มข้นและมีกลิ่นหอม
Golan Heights Winery ผู้ผลิต Yarden Viognier 2011 เป็นผู้ผลิตไวน์ของอิสราเอลที่ตั้งอยู่ในนิคม Katzrin ในกาลิลี มีไวน์หลากหลายประเภท ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือ Yarden นั่นเอง Yarden ผลิตจากองุ่นที่คัดสรรจากไร่องุ่นที่ดีที่สุด ไวน์ขาวและไวน์แดงผลิตขึ้นภายใต้ฉลากของ Gamla, Gilgal และ Hermon โดยจะออกไวน์แดงสามชนิดทุกวันในชื่อ Sion และ Golan โรงกลั่นเหล้าองุ่นเป็นสหกรณ์ และสมาชิก 15 รายเป็นเจ้าของไร่องุ่น 28 แห่งในหลายพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 600 เฮกตาร์ (1500เอเคอร์) ทั้งหมดนี้ถูกแบ่งออกเป็น 400 บล็อกเพิ่มเติมซึ่งทำฟาร์มและทำองุ่นแยกจากกัน และจากความสูง ภูมิประเทศ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และดินที่หลากหลายทำให้มีตัวเลือกการผสมที่หลากหลายจากผืนดินที่แตกต่างกัน เป็นเหตุให้องุ่นที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์คลาสสิกของฝรั่งเศส นอกเหนือจากนั้น Golan Heights Winery ยังส่งออกไวน์ไปกว่า 30 ประเทศและได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมายดังเช่นYarden Cabernet Sauvignon ไวน์ในปี 2547 เป็นไวน์ของอิสราเอลรายแรกที่มีรายชื่อไวน์ 100 อันดับแรกของ Wine Spectator และในปี 2012 ก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น New World Winery of the Year จากนิตยสาร Wine Enthusiast อีกด้วย
Yarden Viognier
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com
Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud
Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud
Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงผู้ผลิตไวน์Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud อย่าง Henry Frédéric Roch ผู้เป็นผู้อำนวยการร่วมและเจ้าของร่วมของไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเบอร์กันดี นั่นคือ Domaine de la Romanée Conti เป็นที่น่าสนใจที่เขาได้รับงานนี้หลังจากที่ได้ก่อตั้งโรงกลั่นเหล้าองุ่นของตัวเองขึ้นในทศวรรษ1980 เรื่องราวของไร่องุ่นเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับตระกูลผู้ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงในตำนานอย่าง Henry-Frédéric Roch ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของ Lalou Bize-Leroy หนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่สุดของ Burgundy และ Roch ซึ่ง Domaine Prieuré Roch แห่งนี้ได้กลายเป็นที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในแคว้น Côte de Nuits ในเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส
พื้นที่กว่า 11 เฮกตาร์ของ Domaine Prieuré Roch ได้ถูกใช้ในการทำการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน ซึ่งผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำสำหรับเบอร์กันดี นั้นเนื่องมาจากการพยายามรักษาลักษณะตามธรรมชาติขององุ่น ในส่วนของห้องเก็บไวน์ ไวน์แทบไม่ถูกแตะต้อง และบรรจุขวดแบบไม่กลั่น ไม่กรอง และไม่มีการเติมกำมะถัน ซึ่งวิธีการที่เป็นธรรมชาติมากที่ใช้ในการผลิตไวน์นี้ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ออกมาเป็นไวน์ที่บริสุทธิ์ สะอาดและสดใหม่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะในด้านของกลิ่นที่หอมของไวน์
Le Cloud เป็นไวน์เบอร์กันดี Pinot Noir รสละมุนแห่งแคว้น Côte de Nuits ในฝรั่งเศส ที่มีไร่องุ่นระดับ Grand Cru ซึ่งผลิตมาจาก Pinot Noir อันเป็นองุ่นที่ใช้ทำไวน์แดงที่ได้รับความนิยมมากในการผลิตไวน์แดง ซึ่งเป็นองุ่นที่ชอบสภาพอากาศที่เย็น Le Cloud นั้นจัดเป็นไวน์แดงแบบไลท์บอดี้ (Light Body Red Wine) ซึ่งไวน์แบบไลท์บอดี้นั้นสามารถจับคู่กับอาหารได้หลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นผัก, เนื้อไก่ หรือเป็ดย่าง
Domaine Prieuré Roch Ladoix Le Cloud
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com
Port Askaig Islay Aged 45 Years Old
Port Askaig Islay Aged 45 Years Old
Port Askaig Islay Aged 45 Years Old เป็นเหล้าวิสกี้ที่ถูกผลิตขึ้นมาจากแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังอย่าง Port Askaig Islay ซึ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบรรจุขวดของบริษัท Speciality Drinks หรือที่ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Elixir Distillers ที่ก่อตั้งโดย Sukhinder Singh และ Rajbir Singh โดยก่อนหน้านี้พวกเขาได้ก่อตั้ง The Whisky Exchange ร้านค้าปลีกออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญวิสกี้แห่งแรกๆขึ้นในปีค.ศ.1999 ในปัจจุบัน The Whisky Exchange ก็ได้กลายเป็นผู้ค้าปลีกเครื่องดื่มที่สำคัญที่สุดในโลกไปเสียแล้ว จากนั้นในช่วงปีค.ศ.2002 หลังจากที่ Sukhinder ได้ดื่มวิสกี้ถังแรกของเขาและเกิดความหลงใหลขึ้น จึงทำให้ Sukhinder ออกตามหาถังที่บรรจุซิงเกิลมอลต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดและนำมาบรรจุขวดภายใต้แบรนด์ใหม่อย่าง The Single Malts of Scotland เมื่อปีค.ศ.2008 แบรนด์ใหม่อย่าง The Elements of Islay ก็ได้เปิดตัวและถูกแนะนำให้กับลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุ และปีค.ศ.2009 Port Askaig ก็ได้เปิดตัวขึ้นในช่วงที่ความต้องการวิสกี้ Islay กำลังเพิ่มสูงขึ้น โดย Port Askaig นั้นตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางเหนือของเกาะ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประตูสู่เกาะ Islay มานานนับหลายร้อยปี
Port Askaig เป็นซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่ได้รวบรวมเหล้าชนิดต่างๆอันเป็นเอกลักษณ์และผู้คนของIslay เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยลักษณะของวิสกี้ที่เป็นการผสมผสานกลิ่นควันที่หนาแน่นและความละมุนละไมของผลไม้ที่พบได้บนเกาะแห่งนี้ โดยวิสกี้ของ Port Askaig ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวิสกี้แต่ในขณะเดียวกันวิสกี้ของ Port Askaig ก็ยังดึงดูดนักดื่มวิสกี้มือใหม่ด้วยเช่นกัน ด้วยถังที่ถูกคัดเลือกเป็นพิเศษเพื่อนำไปทำซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น Islay classic ขึ้น
ในการบรรจุขวดวิสกี้ของ Elixir Distillers นั้นจะถูกบรรจุขึ้นมาอย่างจำกัด เนื่องจากพวกเขาตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในการบรรจุแต่ละครั้ง และพวกเขายังต้องการรักษาคุณภาพและลักษณะของวิสกี้ให้มั่นคงสม่ำเสมอแม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ตาม เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาสามารถรักษารสชาติดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของวิสกี้ที่ไม่ผ่านการกรองแบบเย็นและไม่ผ่านการแต่งสีไว้ได้
สำหรับวิสกี้ PORT ASKAIG 45 YEAR OLD นี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิสกี้ที่หาได้ยาก กลั่นโดยโรงกลั่นใน Islay ที่ไม่เปิดเผยชื่อที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเกาะพรุ (the peat island) เมื่อปีค.ศ.1968โดยวิสกี้ชนิดนี้ได้ถูกบรรจุอยู่ในถังที่มีความแข็งแรง และชื่อเสียงจากการผลิตเหล้าที่มีความหรูหราของรสชาติผลไม้เมืองร้อน โดยวิสกี้ชนิดนี้จะเป็นการผสมผสานกันของกลิ่นผลไม้เมืองร้อนและผลไม้อื่นๆ อย่างแอปเปิล ลูกแพร มะละกอ และมะม่วง เป็นต้น อีกทั้งยังมีรสชาติความของขมอมหวานของส้ม มะม่วงและความอบอุ่นของเครื่องเทศ พร้อมกับตัดรสด้วยกลิ่นมิ้นท์และชาเขียว จากนั้นรสชาติของผลไม้จะค่อยๆจางหายไปและแทนที่ด้วยรสของสมุนไพรและมิ้นท์ที่ทำให้มีชีวิตชีวา และวิสกี้ PORT ASKAIG 45 YEAR OLD นี้จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 40.8%
Port Askaig Islay Aged 45 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com
Caol Ila 1981 36 Years Old Connoisseurs Choice TWE Exclusive
Caol Ila 1981 36 Years Old Connoisseurs Choice TWE Exclusive
Caol Ila 1981 36 Years Old Connoisseurs Choice TWE Exclusive นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่ถูกกลั่นมาจากโรงกลั่น Caol Ila ที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1846 โดยโรงกลั่นนี้ถือได้ว่าเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาโรงกลั่น 8 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วเกาะ Isle of Islay ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศสกอตแลนด์ โรงกลั่น Caol Ila ได้แยกออกมาตั้งโรงกลั่นบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ โดยโรงกลั่น Caol Ila มีความโดดเด่นในด้านการผลิตที่มั่นคงตั้งแต่ช่วงก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการปิดตัวไปช่วงสั้นๆในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากข้อบังคับในการใช้ข้าวบาร์เลย์ ถึงแม้ว่าโรงกลั่น Caol Ila ได้ถูกเปลี่ยนมือไปหลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 แต่เจ้าของโรงกลั่นรายใหม่แต่ละรายก็ได้ขยับขยายและพัฒนาโรงกลั่นให้ดียิ่งขึ้น และในช่วงปีค.ศ.1972 โรงกลั่นทั้งหมดของ Caol Ila ได้ถูกทำลายลงและสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น รวมถึงการขยับขยายหม้อพักในโรงกลั่นที่จากเดิมมีอยู่จำนวน 2 หม้อให้เพิ่มขึ้นเป็น 6 หม้อเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ต่อมาในปีค.ศ.1986 โรงกลั่นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ United Distillers conglomerate ซึ่งก่อให้เกิดการบรรจุขวดแบบ “กึ่งทางการ” ขึ้น
สำหรับการผลิตวิสกี้นั้นจะเริ่มตั้งแต่การหามอลต์บาร์เลย์ โดยที่ Caol Ila นี้จะเลือกใช้มอลต์บาร์เลย์จาก Port Ellen ที่ผ่านการเผาไหม้ด้วยถ่านหินเลน (Peat) แล้ว ตั้งแต่ปีค.ศ.1974 เพื่อทำให้วิสกี้มีน้ำหนักที่เบาและสะอาดกว่ารุ่นก่อนหน้า จากนั้นในขั้นตอนการกลั่นมอลต์บาร์เลย์ก็จะใช้น้ำจากแหล่งน้ำพุบริสุทธิ์ที่ลอยมาจากหินปูน (limestone) ใกล้ๆกับบริเวณ Loch nam Ban และตกลงไปในทะเลข้างๆ โรงกลั่น ซึ่งในปัจจุบันเจ้าของโรงกลั่นคือ Diageo ที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีปริมาณโรงกลั่นที่มากที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 กล่าวคือปริมาณการผลิตวิสกี้ในแต่ละปีจะสูงขึ้น โดยในปัจจุบัน Caol Ila สามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ได้ถึง 3 ล้านลิตรต่อปีเลยทีเดียว หลังจากที่กลั่นวิสกี้และบ่มจนได้อายุที่ต้องการเรียบร้อยแล้วทาง Caol Ila ก็จะส่งวิสกี้ไปยังโรงงานบรรจุขวดต่อไป
สำหรับวิสกี้ Caol Ila 1981 36 Year Old Connoisseurs Choice TWE Exclusive นี้นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์วิสกี้ Connoisseurs Choice – Cask Strength โดยได้รับการกลั่นจากโรงกลั่น Caol Ila ตั้งแต่ปีค.ศ.1981 และได้รับการบ่มนานถึง 36 ปี จากนั้นก็ได้ถูกบรรจุขวดโดยบริษัท Gordon & MacPhail (GM) เมื่อวันที่ 19 เดือนตุลาคม ค.ศ.2018 เพียงจำนวน 201 ขวดเท่านั้น โดยวิสกี้ขวดนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 60.2 % เลยทีเดียว จากการบ่มที่ได้ที่ทำให้วิสกี้ Caol Ila 1981 36 Year Old Connoisseurs Choice TWE Exclusive ขวดนี้ได้รสชาติของผลไม้ที่สุกเต็มที่ และความหวานของเมล็ดข้าวบาร์เลย์ พร้อมด้วยรสความเป็นทะเลอ่อนๆ ผสมกับความเข้มของโกโก้ อีกทั้งวิสกี้ขวดนี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมของถ่านหินเลนที่ถูกเผาไหม้อบอวลอยู่ภายในขวด
Caol Ila 1981 36 Years Old Connoisseurs Choice TWE Exclusive
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com
Talisker 40 Years Old
Talisker 40 Years Old
Talisker 40 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นเยี่ยมจากแบรนด์เหล้าชื่อดังอย่าง Talisker ที่ถือว่าเป็นโรงกลั่นเพียงแห่งเดียวบน Hebridean ของเกาะ Skye และเป็นหนึ่งในแบรนด์วิสกี้มอลต์เดี่ยวของประเทศสกอตแลนด์ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1831 จากพี่น้อง MacAskill ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากบนเกาะ Skye โดยการดำเนินการโรงกลั่นนั้นมีกำลังการผลิตมากถึง 2 ล้านลิตรต่อปี น้ำที่ใช้ในการกลั่นก็มาจากน้ำพุจากหุบเขา Cuillinแต่กลับกัน ในส่วนของดินบนเกาะแห่งนี้มีคุณภาพที่ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจึงนำข้าวบาร์เลย์ไปปลูกที่บริเวณที่เรียกว่า Muir of Ord บนแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงของภูมิภาคไฮแลนด์ไปทางตะวันตกประมาณ 20 กิโลเมตร
หลังจากนั้นแม้ว่าโรงกลั่น Talisker ก็ถูกเปลี่ยนมือเจ้าของอีกหลายครั้ง แต่วิสกี้ของ Talisker ก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมากจนถึงขนาด John Anderson นายหน้าจากเมือง Glasgow ที่ซื้อโรงกลั่น Talisker ไปในปีค.ศ.1863 กล่าวอ้างว่า “ไม่มีวิสกี้ในตลาดอันไหนมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับ Talisker ” เลยทีเดียว หลังจากนั้นโรงกลั่น Talisker ก็ได้ถูกไฟไหม้ในปีค.ศ.1960 แต่ก็บูรณะกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ และดำเนินกิจการต่อได้ในปีค.ศ. 1962
ในปีค.ศ.1989 วิสกี้ Talisker ที่มีอายุ 10 ปีได้ถูกบรรจุขวดพร้อมด้วยความแรงของปริมาณแอลกอฮอล์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่ 45.8% และได้เปิดตัวออกวางจำหน่ายในฐานะตัวแทนของมอลต์จากเกาะที่มีความคลาสสิก โดยประกอบไปด้วยวิสกี้ 6 ชนิด ด้วยรสชาติที่ไม่สามารถลืมได้ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนวิสกี้อย่างมาก เช่นเดียวกันกับปีค.ศ. 2004 วิสกี้ Talisker ที่ถูกบ่มมาอย่างยาวนานถึง 18 ปีก็ได้ออกวางจำหน่ายและได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นวิสกี้แบบซิงเกิลมอลต์ที่ดีที่สุดในโลก ในงาน 2007 World Whiskies Awards เพื่อไปฟาดฟันกับวิสกี้ที่มีชื่อเสียงอื่นๆ
และที่สำคัญที่สุดก็คือวิสกี้ Talisker ที่ถูกกลั่นเมื่อปีค.ศ.1978 และใช้ระยะเวลาในการบ่มนานถึง 40 ปี โดยถูกบรรจุขวดเมื่อปีค.ศ. 2018 ที่ผ่านมาด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ 50.0 % ซึ่งถือได้ว่าวิสกี้ชนิดนี้เป็นวิสกี้ชนิดแรกสุดในซีรีส์ของ Bodega ที่เกี่ยวกับการนำเสนอวิสกี้ที่มีความเกี่ยวเนื่องกันกับโรงกลั่นและบริษัทผลิตถังจากไม้เชอร์รี่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงกลั่นในปีค.ศ. 1830 ด้วยถังไม้เชอร์รี่ 5 ถังที่บรรจุวิสกี้ Talisker ที่มีอายุการบ่ม 40 ปีไว้นานกว่า 3 เดือน ก่อนที่จะส่งมายังประเทศสกอตแลนด์ โดยถังที่ใช้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Solera เพื่อช่วงคงคุณภาพของวิสกี้ไว้ ซึ่งการนำถังโบราณสำหรับเก็บเชอร์รี่ของสเปนมาใช้กับเหล้าสก็อตวิสกี้นั้นถือว่าหาชมได้ยากอย่างมากเลยทีเดียว โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ผิดหวัง เนื่องจากได้ผสมผสานความสละสลวยของวิสกี้ Talisker ที่ผ่านการบ่มมาอย่างเต็มที่และความซับซ้อนของผลไม้อย่างเชอร์รี่ Quo Vadis เข้าด้วยกันได้อย่างดี ทำให้ได้ออกมาเป็นวิสกี้ที่น่าประทับใจอีกหนึ่งชนิดเลยทีเดียว
Talisker 40 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
โดย รีวิวเหล้านอก.com