Escudo Rojo
Escudo Rojo คือการผสมผสานที่ดีเยี่ยมของกลุ่มองุ่นพันธ์ดั้งเดิมทั้งหลาย
โดยมีกระบวนการผลิตอันประกอบไปด้วย
Cabernet Sauvignon 40%, Camenere 38%, Syrah 20% และ Cabernet Franc 2%
ซึ่งได้รับการคัดเลือกและหมักไว้ในถังไม้โอ๊คนานถึง 12 เดือน
ในร้านขายของชำBaron Phillippe de RosthschildMaipo ที่ Valle Centralประเทศชิลี
ปีแล้วปีเล่า โดยที่การผสมผสานของวัตถุดิบจะทำเป็นรอบๆ ค่อนข้างซับซ้อน
และเข้มข้น มีปริมาณแอลกอฮอล์ 14% โดยไวน์ชนิดนี้เกิดจากการ
ปรุงแต่งโดย Baron Philippe de Rothschild Maipo ซึ่งเป็นนักปรุงไวน์ให้กับ Chile
และเขาก็ได้เลือกไร่องุ่นที่มีชื่อว่า Valle Central ซึ่งเป็นไร่องุ่นที่ช่วยทำให้องุ่น
มีกลิ่นและรสชาติที่มีความแตกต่างจากไร่องุ่นอื่นโดยสิ้นเชิง รวมทั้งยังทำให้รสและกลิ่น
ของไวน์องุ่นมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากไร่องุ่นที่นี่,ได้รับสารอาหารมาจากดินเหนียวที่ไร่
องุ่นที่นี่ใช้อีกด้วย นอกจากเอกลักษณ์ที่ได้กล่าวไปแล้ว ไวน์ชนิดนี้ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นจุดเด่น ได้แก่ การเก็บองุ่นด้วยมือเท่านั้น และจะคัดองุ่นด้วยฝีมือมนุษย์เท่านั้น
เพื่อคุณภาพของไวน์ที่ดีที่สุด
ไวน์ตัวนี้มีสีแดงเข้มและสีม่วงเข้มที่มีเงาแวววับสะท้อนสว่าง และมักจะมีภาพรวมของกลิ่น
ของผลไม้สุกสีแดงและกลิ่นหอมของผลไม้สีดำ รวมถึงกลิ่นอ่อนๆของขนมปังเฮเซลนัท
นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นที่มีความหอมฟุ้งกระจาย รวมทั้งยังมีกลิ่นไวน์ที่ซับซ้อนและเข้มข้น
โดยกลิ่นแรกที่เปิดออกมาคือกลิ่นที่เข้มข้นของแบลกเบอร์รี่ แบลกเชอร์รี่และกลิ่นสตรอเบอร์รี่ป่า
หลังจากนั้น ไวน์ชนิดนี้จะมีกลิ่นของเนื้อแบลกเบอร์รี่กับกลิ่นของถั่วอัลมอนด์และกลิ่นของ
การแฟคั่วตามมา ซึ่งเป็นกลิ่นอายที่มีความร่วมสมัยแฝงอยู่
ด้วยความเข้มข้นที่ลึกซึ้งจากองุ่นพันธ์ต่างๆ ทำให้มีรสชาติที่นุ่มนวล ละมุน
ซึ่งตรงข้ามกับกลิ่นที่แสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง ด้วยรสที่สมบูรณ์แบบของราสเบอร์รี่
แบล็คเคอร์แรนท์ผสมผสานกับกลิ่นพริกไทยดำที่มีรสเผ็ด รวมถึงความกลมกล่อมขององุ่น
Cabernet, Syrah และCamenere โดยรสชาติที่สามารถสัมผัสได้เมื่อนักดื่มได้ลิ้มลองไวน์
ชนิดนี้คือความนุ่มนวลและความเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย ทั้งราสเบอร์รี่ แบลกเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่ป่า และบิลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นเบอร์รี่สีฟ้าเข้มที่พบได้แค่เฉพาะพื้นที่ทางยุโรปตอนเหนือเท่านั้น
หลังจากนั้นไวน์ชนิดนี้จะมีความนุ่มที่มียิ่งขึ้นไปอีกและความซับซ้อนจากผิวของผลไม้ดำทั้งหลาย
และจบท้ายด้วยรสสัมผัสที่มีรูปแบบเฉพาะตัวจากรสสัมผัสที่เหมือนกับขนมปังปิ้ง กาแฟ
และรสของดอกไม้หอมต่างๆ ซึ่งรสชาติทั้งหมดนั้น ผสมรวมตัวกันได้อย่างพอเหมาะพอ
เจาะและมีความร่วมสมัย และความสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้นยังเป็นไวน์ที่มีความกลมกล่อม
และมีพลังที่ถ่ายทอดความเป็นท้องถิ่นที่ผลิตไวน์นี้อีกด้วย
ปิดท้ายด้วยการทานคู่กับอกเป็ดอบซอสเครื่องเทศ และพริกไทยเสฉวน
รวมถึงเนื้อแกะ เค้กช็อคโกแลตกับชีส และควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 16 – 17 องศาเซลเซียส