Category Archives: Wine

รีวิวไวน์ Wine โดย รีวิวเหล้านอก.com

Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux

Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux

Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux คือไวน์ที่แพงที่สุดเป็นอันดับสามของไวน์ Vosne-Romanee ภายใต้เงื่อนไขการผลิตที่เข้มงวดโดยใช้ผลองุ่นจากหนึ่งในไร่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นไร่ Premier Cru

โดยไร่ Cros Parantoux นั้นมีขนาดพื้นที่ที่ไม่ใหญ่นักโดยมีพื้นที่ประมาณ 1 เฮกตาร์หรือประมาณ 6.25 ไร่ ตั้งอยู่ในบริเวณเนินเขาสูงทางทิศตะวันตกของ Richebourg Grand Cru ด้วยลมที่พัดมาจากหุบเขาทางทิศตะวันออกจึงทำให้ภูมิอากาศที่ Cros Parantoux นั้นจะเย็นกว่าละแวกอื่นๆ ทำให้ผลองุ่นจะสุกช้าขึ้นซึ่งเป็นการทำให้แน่ใจว่าผลองุ่นที่ได้จะมีค่าความเป็นกรดที่เพียงพอในการทำให้ไวน์มีความสมดุลและดึงศักยภาพในการบ่มออกมาได้อย่างดี ดินภายในไร่ประกอบไปด้วยชั้นดินเหนียวที่ปกคลุมด้วยหินปูนแข็ง ภายในดินมีความอุดมสมบูรณ์ที่ต่ำและมีภาวะขาดน้ำทำให้ต้นองุ่นต้องหยั่งรากลึกลงไปในรอยแยกของหินมากขึ้น ส่งผลให้ผลองุ่นได้รับพลังงานจากลำต้นโดยตรงทำให้ได้คุณภาพที่ดี และเหมาะแก่การนำไปผลิตไวน์ โดยหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Henri Jayer ได้เข้ามาดูแลภายในไร่ และก่อนที่จะทำการเพาะปลูกต้นองุ่น Henri ก็ได้ใช้ระเบิดเพื่อทำให้ดินที่มีความแข็งนั้นนุ่มขึ้น

Henri Jayer ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตไวน์แดงเบอร์กันดีที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ด้วยการผลิตไวน์จากองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดย Henri Jayer ได้เริ่มบรรจุไวน์ลงขวดภายใต้ชื่อของเขาเองตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 จนถึงปีค.ศ. 2001 ที่เขาได้เกษียรตัวออกจากการผลิตไวน์ และเสียชีวิตลงในปีค.ศ. 2006 โดยเขาได้ให้หลานของเขาอย่าง Emmanuel Rouget มารับช่วงต่อในการผลิตไวน์ต่อไป และไวน์ Vosne-Romanee ที่ออกวางจำหน่ายหลังปีค.ศ. 2001 ก็จะอยู่ภายใต้ชื่อของ Emmanuel Rouget แทน ด้วยจำนวนที่มีจำกัดทำให้ไวน์ของ Henri Jayer เป็นไวน์ที่น่าสะสมที่สุดและมีค่าที่สุดในโลก

Vosne-Romanée Cros Parantoux เป็นไวน์แดงที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir 100% และได้รับการพิจารณาจากผู้คนมากมายถึงความสมดุลของน้ำหนักและโครงสร้างของไวน์ที่สวยงาม อีกทั้งยังมีส่วนผสมของรสชาติผลไม้เปรี้ยวสีแดงอย่างเชอรร์รี่และราสเบอร์รี่ และกลิ่นของชะเอมเทศ โดยปริมาณของแอลกอฮอลของไวน์ Vosne-Romanée Cros Parantoux จะอยู่ที่ 13.50% ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ปริมาณแอลกอฮอลในไวน์ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยอาหารที่เหมาะจะรับประทานคู่กับไวน์แดงชนิดนี้คืออาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อลูกวัว เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีกอย่างเช่น เนื้อเป็ด หรือ เนื้อห่าน เป็นต้น

Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux

Henri Jayer Vosne-Romanée 1er Cru Cros Parantoux

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru

Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru

Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1992 ในฐานะไวน์ลำดับที่สองของ Château de Valandraud โดยชื่อ Virginie de Valandraud นี้นั้นได้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อลูกสาวของ Jean–Luc ThunevIn และ Murielle Andraud โดยใช้องุ่นที่ปลูกในไร่เดียวกันและวิธีการผลิตไวน์แบบเดียวกันกับ Château de Valandraud

เดิมทีในปีค.ศ. 1987 Jean–Luc และ Murielle ได้ซื้อที่ดินของไร่องุ่นจำนวน 0.6 เฮกตาร์ หรือประมาณ 3.75 ไร่ที่อยู่ไม่ไกลกับไร่ของ Chateau Pavie Macquin และ Chateau La Clotte ในเมือง St. Emilion ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นเพียงเวลาไม่นานพวกเขาก็ได้ซื้อไร่องุ่นทางทิศตะวันออกของเมือง St. Sulpice รวมเพิ่มอีก 1.2 เฮกตาร์ หรือประมาณ 7.5 ไร่ ในทุกๆกระบวนการผลิตไวน์ ครอบครัว Thunevin จะคอยดูแลและกำกับตลอดเพื่อให้ทุกอย่างมีความสมบูรณ์ที่สุด โดยเริ่มต้นตั้งแต่การปลูกต้นองุ่น Murielle จะคอยดูแลต้นองุ่นในทุกๆวัน จนเมื่อปีค.ศ. 2001 ทางไร่ได้เริ่มนำกระบวนการปลูกแบบออแกนิคเข้ามาใช้ภายในไร่มากขึ้น แทนที่การใช้ยาฆ่าแมลงกับต้นองุ่น ในตอนแรกที่ Valandraud เริ่มต้นด้วยการทำธุรกิจโรงบ่มไวน์ขนาดเล็ก ด้วยเงินที่หมดไปกับการซื้อไร่องุ่นทำให้พวกเขาไม่มีห้องเก็บไวน์ใต้ดินเหมือนแบรนด์อื่นๆ ไวน์ของพวกเค้าจึงถูกผลิตขึ้นในโรงรถที่ยืมมา ตอนเปิดตัวไวน์องุ่นครั้งแรก พวกเขามีจำนวนของไวน์องุ่นน้อยกว่า 100 กล่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Garage Wine ขึ้น หลังจากนั้นพวกเค้าก็ได้ซื้อที่ดินรอบๆ St.Emilion เพิ่มอีกมากกว่า 10 เฮกตาร์ หรือประมาณ 62.5 ไร่

พื้นที่ไร่องุ่นของ Valandraud จำนวนกว่า 9 เฮกตาร์ หรือประมาณ 56.25 ไร่ ได้แบ่งพื้นที่เพาะปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์แดงไว้ดังนี้ คือ องุ่นสายพันธุ์ Merlot 65% สายพันธุ์ Cabernet Franc 25% สายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% สายพันธุ์ Malbec 4% และสายพันธุ์ Carmenere อีก 1% นอกจากนี้พวกเขายังได้แบ่งพื้นที่อีก 2 เฮกตาร์ หรือประมาณ 12.5 ไร่ไว้สำหรับปลูกองุ่นไว้ทำไวน์ขาว โดยแบ่งพื้นที่การปลูกเป็น องุ่นสายพันธุ์ Sauvignon Blanc 50% สายพันธุ์ Semillon  35% และองุ่นสายพันธุ์ Sauvignon Gris อีก 15% โดยต้นองุ่นภายในไร่จะถูกปลูกในดินเหนียวและดินที่มีส่วนผสมของหินปูน และมีการใช้เทคนิคการดูแลทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่และผ่านการตัดแต่งกิ่งถึง 2 ครั้ง จนเมื่อสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ผลองุ่นจะถูกคัดเลือกตั้งแต่อยู่ในไร่ก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นเมื่อนำผลองุ่นไปไว้ที่ห้องเก็บไวน์ใต้ดิน ผลองุ่นก็จะถูกคัดเลือกด้วยมืออีกหนึ่งรอบก่อนจะถูกดึงก้านที่เหลืออยู่ออก

            ในการผลิตไวน์ของ Valandraud ได้มีการควบคุมอุณหภูมิของทั้งถังไม้ ถังสแตนเลส และถังคอนกรีต โดยขั้นตอนการหมักจะแตกต่างกันไปตามชนิดของไวน์ และการหมักครั้งที่สองจะถูกหมักในถังไม้ฝรั่งเศสใหม่ 100% เป็นระยะเวลา 18-30 เดือน ตามคุณภาพและลักษณะของไวน์ จนได้ไวน์ที่มีรูปแบบที่นุ่มนวล อุดมสมบูรณ์ และมีค่าความเป็นกรดต่ำ พร้อมด้วยรสชาติของแทนนินที่นุ่มลิ้น รสชาติของเบอร์รี่สีเข้ม เชอร์รี่ ชะเอมเทศ และช็อคโกแลต

Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru

Virginie de Valandraud Saint-Emilion Grand Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon

Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon

Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon เป็นหนึ่งในไวน์ชั้นยอดของแคลิฟอร์เนีย ที่มีกลิ่นหอมจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet รวมไปถึงความสามารถในการบ่มไวน์ที่ยอดเยี่ยมอีกทั้ง Hillside Select ยังเป็นไวน์แดงระดับเรือธงของแบรนด์ Shafer อีกด้วย

ไร่องุ่นของ Shafer ตั้งอยู่ใต้ที่ลาดชันที่เรียกว่า Stags Leap Palisades ในพื้นที่ Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการรวบรวมไร่องุ่นขนาดเล็กจำนวน 14 ไร่เข้าด้วยกัน ในตอนแรก Shafer ได้รับไร่องุ่นที่ถูกทอดทิ้งไปนี้มาจากชาวนาที่มีชื่อว่า Batista Scansi พร้อมกับต้นองุ่นที่ถูกปลูกไว้กว่า 50 ปี โดยดินในพื้นที่นี้แม้จะเป็นดินภูเขาไฟแต่ก็มีความบางและสารอาหารที่ต่ำทำให้ผลผลิตที่ได้มีขนาดที่เล็กประมาณผลบลูเบอร์รี่ อีกทั้งการรวมกันของภูมิอากาศในบริเวณไร่และความแห้งและขรุขระของดินยังส่งผลให้องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon ที่มีความเขียวชอุ่ม มีสีที่เข้ม และรสชาติที่มีความคลาสสิกและเข้มข้นอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมที่คล้ายกับกลิ่นของพริกชี้ฟ้าเขียว และรสชาติขององุ่นดำแห้ง

โดย Hillside Select นั้นจะผลิตขึ้นจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 100% ที่มีความซับซ้อนจากการโคลนนิ่งและตัดแต่งกิ่งภายในไร่ โดยองุ่นที่ต่างชนิดกันก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันด้วยเช่นเดียวกันในฤดูที่เหมาะแก่การเก็บเกี่ยว ผลองุ่นจะถูกคัดอย่างพิถีพิถันด้วยมือและถูกส่งไปยังแผ่นบดที่สะอาด ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยภายในโรงผลิตไวน์ ก้านองุ่นที่มีความเปราะบางจะถูกแยกออกมา องุ่นอยู่ในถังหมักเรียบร้อยแล้วจะถูกดูแลอย่างดีเป็นพิเศษ เพื่อดึงเอาความต่างเพียงเล็กน้อยของผลองุ่นออกมา โดยถังหมักที่ใช้จะเป็นถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสที่ผ่านการดมกลิ่นในแต่ละถังเพื่อหาถังที่จะทำให้ไวน์Hillside Select มีกลิ่นที่หอมที่สุด และใช้เวลาในการบ่มไวน์ในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใหม่เป็นเวลาถึง 32 เดือน แล้วจึงค่อยบรรจุไวน์ลงในขวดเก็บไว้อีกหนึ่งปีก่อนจะนำออกมาวางจำหน่าย

ในทุกๆปี Shafer จะสามารถผลิตไวน์ที่เป็นสัญลักษณ์ได้ประมาณ 2,400 กล่องเท่านั้น โดยจะนำไปเสนอให้กับผู้ที่มีความชื่นชอบไวน์ชั้นเลิศ โรงแรมและภัตตาคารระดับสูงที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดทั่วโลก  ตัวอย่างไวน์ที่ดีที่สุดของ Hillside Select นั้นจะให้รสสัมผัสที่นุ่มเมื่อผ่านการบ่มเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ด้วยรสชาติความหวานของผลไม้บางๆ ทำให้ไวน์ของ Hillside Select นั้นถูกวิจารณ์ในบางไตรมาส นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่าไวน์ของ Hillside Select ก็เหมือนกับไวน์อื่นๆที่ปลูกในพื้นที่ Napa Valley ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติความหวานของผลไม้สีเข้ม

Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon

Shafer Hillside Select Cabernet Sauvignon

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley

Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley

Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley เป็นโรงงานผลิตไวน์ที่ตั้งอยู่ที่ Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รายล้อมไปด้วยพื้นที่สำหรับปลูกไวน์พรีเมี่ยม Far Niente เป็นเพียงแห่งเดียวที่ใช้ถ้ำในการเก็บไวน์ที่ผ่านการบรรจุลงไปบ่มในถังไม้ โดยในปีค.ศ.1885 Far Niente ได้ก่อตั้งขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของ John Benson อดีตคนงานเหมืองทองในยุคแห่งทองคำที่แคลิฟอร์เนีย  ที่มาของชื่อ Far Niente มาจากวลีโรแมนติกในภาษาอิตาลีที่มีความหมายว่า “ปราศจากความกังวล”และชื่อ Far Niente นี้ก็ยังได้ถูกสลักไว้ที่หินที่อยู่บริเวณหน้าอาคารตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 อีกด้วย

ที่ไร่ของ Far Niente นั้นได้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Chardonnay บนพื้นดินมีการระบายน้ำได้ดีจากการผสมดินร่วนและกรวดเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนผสมของดินเถ้าภูเขาไฟที่ช่วยในการเจริญเติบโตของต้นองุ่นและช่วยให้ผลผลิตที่ออกมามีรสชาติของผลไม้เมืองร้อนและกลิ่นที่มีความซับซ้อน โดยการปลูกไร่องุ่นนั้นเริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 ด้วยเวลาที่ลึกซึ้งกว่า 4 ทศวรรษในการผลิตไวน์แดงจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และการรวบรวมองุ่นจากไร่องุ่นชั้นเลิศในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองุ่นจาก Rutherford, Stags Leap, Calistoga และ St. Helena ที่ผ่านการคัดเลือกด้วยมืออย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด เพื่อที่จะนำไปผลิตไวน์ที่มีคุณภาพขึ้นมา

ในการบ่มไวน์องุ่นของ Far Niente พวกเขาจะใช้องุ่น 20% ในไร่ต่อปี และบ่มในถังไม้เก็บไว้ในถ้ำของพวกเขาเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี ก่อนที่จะนำไวน์องุ่นออกมาวางจำหน่ายอีกครั้ง โดยแรกเริ่มนั้น John Benson ตั้งใจที่จะเจาะกำแพงด้านทิศตะวันตกของห้องเก็บไวน์ใต้ดินขึ้น แต่ด้วยการเสียชีวิตของเขาการเจาะถ้ำจึงยังไม่ได้เริ่มขึ้น จนเมื่อปีค.ศ.1980 Alf Burtleson ได้จ้างให้มีการขุดถ้ำไวน์ที่มีความลึก 60 ฟุต บริเวณด้านหลังของโรงกลั่นไวน์ที่เป็นหุบเขา ถ้ำไวน์ของ Far Niente Napa Valley จึงถือได้ว่าเป็นถ้ำไวน์แห่งแรกในอเมริกาเหนือ หลังจากนั้นอีก 21 ปี ถ้ำเก็บไวน์ได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ตารางฟุต โดยการใช้อุปกรณ์ขุดแบบเดียวกับเหมืองถ่านในประเทศอังกฤษ สำหรับ Far Niente แล้วนั้นถ้ำเก็บไวน์ไม่ได้เป็นเพียง “สิ่งที่ควรมี” แต่เป็น “สิ่งที่ต้องมี” ด้วยชื่อเสียงในการบ่มไวน์อย่างดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ความพิถีพิถันที่ตรงตามจรรยาบรรณและมารตราฐานในการผลิตไวน์ นอกจากนี้ Dirk Hampson ผู้อำนวยการผลิตไวน์ยังได้กล่าวไว้อีกว่า “ถ้ำมีคุณลักษณะที่ดีในการบ่มไวน์อย่างไม่น่าเชื่อ ที่อาคารบนดินไม่สามารถทำได้”

ไวน์องุ่นของ Far Niente จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.5% ซึ่งถือได้ว่ามีปริมาณของแอลกอฮอล์สำหรับไวน์ที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ด้วยกลิ่นหอมของมิกซ์เบอร์รี่ เครื่องเทศอบ ลาเวนเดอร์แห้งและโหระพา จะช่วยเปิดต่อมรับรสภายในปากให้ได้รสชาติของมิกซ์เบอร์รี่ ชาดำ เครื่องเทศ และไม้โอ๊กรมควัน พร้อมด้วยความสดชื่นและเนื้อสัมผัสที่ละเอียดของแทนนินที่ช่วยส่งเสริมเอกลักษณ์ของไวน์ในทุกๆด้านขึ้นมา และปิดท้ายด้วยความนุ่มลื่นของรสชาติและเนื้อสัมผัสต่างๆ โดยไวน์แดงจาก Far Niente นี้เหมาะสำหรับอาหารประเภทเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก รวมไปถึงพวกชีสแข็งต่างๆ

Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley

Far Niente Cabernet Sauvignon Napa Valley

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Dalla Valle Maya

Dalla Valle Maya

Dalla Valle Maya นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยเจ้าของแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับไร่องุ่น Dalla Valle ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย Gustav และ Naoko Dalla Valle เมื่อปีค.ศ.1982 ที่บริเวณเนินเขาทางตะวันออกของเมือง Oakville โดยประวัติศาสตร์ของครอบครัว Dalla Valle ได้มีการผลิตไวน์ที่ประเทศบ้านเกิดอย่างอิตาลีมาอย่างยาวนาน ไวน์ชนิดแรกของ Dalla Valle อย่าง Dalla Valle Cabernet Sauvignon นั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ.1986 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาได้ก่อตั้งโรงงานผลิตไวน์ขึ้น

โดยไร่องุ่น Dalla Valle มีพื้นที่ 25 เอเคอร์หรือประมาณ 63.25 ไร่ ได้มีการแบ่งพื้นที่ปลูกต้นองุ่นสายพันธุ์หลักคือสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และสายพันธุ์ Cabernet Franc สำหรับองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot ก็ได้มีการปลูกอยู่ในบริเวณเล็กๆ ที่ไร่แห่งนี้เช่นเดียวกัน ด้วยดินในบริเวณไร่มีส่วนผสมของดินภูเขาไฟทำให้สภาพพื้นดินของไร่แห่งนี้เหมาะสมอย่างมากแก่การเพาะปลูกไวน์ระดับพรีเมี่ยม พวกเขาเริ่มปลูกองุ่นด้วยวิธีออแกนิคในปีค.ศ. 2007 และค่อยๆเปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคแทนปีค.ศ. 2017 ด้วยวิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคนี้จะช่วยรักษาสุขภาพของต้นองุ่น และยังช่วยยืดอายุของต้นองุ่นให้ยาวขึ้นอีกด้วย

ที่ Dalla Valle จะผลิตเหล้าแชมเปญแดงสามชนิดต่อการเก็บเกี่ยวหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือ เหล้าแชมเปญ Collina Dalla Valle ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.2007 ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ทานได้เพลิดเพลินไปกับความอ่อนเยาว์ของไวน์ชนิดนี้ ด้วยราคาที่จับต้องได้ง่ายมากที่สุดของแบรนด์ Dalla Valle และการผสมผสานที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี ต่อมาคือเหล้าแชมเปญ Dalla Valle Cabernet Sauvignon ซึ่งเป็นไวน์ชนิดแรกของแบรนด์ที่ผลิตตั้งแต่ปีค.ศ.1986 จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือรสชาติที่ชัดเจนและความอ่อนนุ่มภายในปาก ประกอบกับกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่ ผลพลัมสุก กลิ่นของกล่องไม้สนแบบเก่า และแซมด้วยกลิ่นของใบยาสูบ กลิ่นหินที่แห้ง ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ไวน์แดงชนิดที่สามคือเหล้าแชมเปญ Maya ที่ถือได้ว่าเป็นเหล้าแชมเปญระดับเรือธงของแบรนด์เลยที่เดียว โดยไวน์ชนิดนี้ได้ถูกตั้งชื่อตามชื่อของลูกสาว Gustav และ Naoko Dalla Valle ที่ชื่อ Maya ความพิเศษคือไวน์ชนิดนี้จะมีสีแดงเข้ม จากการผสมระหว่างองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Cabernet Franc ในอัตราส่วน 60 ต่อ 40 และมีกลิ่นหอมจากผลไม้สีแดงและผลไม้สีดำ ที่ประกอบไปด้วยเชอร์รี่สีแดง บลูเบอร์รี่ และกลิ่นหอมของอบเชยและโกโก้ที่แทรกมาเพียงเล็กน้อย รสชาติของเหล้าแชมเปญ Maya นี้เมื่อทานแล้วจะได้รสชาติของพลัมและเชอร์รี่สีสีดำอบอวนไปทั่วทั้งปาก ด้วยเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มสวยงามและความแวววับของธรรมชาติ ทำให้เหล้าแชมเปญ Maya ได้รับความนิยมอย่างมาก

อุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การเสิร์ฟเหล้าแชมเปญ Maya อยู่ที่ประมาณ 15.5 องศาเซลเซียสเพื่อคงความสดชื่นเอาไว้ โดยอาหารที่เหมาะแก่การรับประทานคู่กับเหล้าแชมเปญนี้คืออาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีกต่างๆ อย่างเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และเนื้อไก่งวง เป็นต้น

Dalla Valle Maya

Dalla Valle Maya

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru ได้ถูกตั้งชื่อตามนักกวีชาวโรมัน Ausonius ผู้ครอบครองพื้นที่ไร่องุ่นมากกว่า 100 เอเคอร์ รอบเมือง Saint Emilion โดยที่ Château Ausone นั้นตั้งอยู่บริเวณเนินเขาทางตอนใต้ของเมือง Saint Emilion โดยมีลักษณะพื้นที่ที่เป็นทางชันและหันไปทางฝั่งทิศใต้ เพื่อป้องกันต้นองุ่นจากลมหนาวทางตอนเหนือ และฝนจากทางฝั่งตะวันออก

แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Ausone มีไร่องุ่นอยู่จำนวน 7.3 เฮกตาร์ หรือประมาณ 45.625 ไร่ โดยภายในไร่องุ่นนี้ได้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Merlot 50% และสายพันธุ์ Cabernet Franc อีก 50% ของพื้นที่ ต้นองุ่นเหล่านี้จะถูกปลูกประมาณ 6,000 ต้นต่อเฮกตาร์ ด้วยดินหินปูน (Limestone soil) และต้นองุ่นมีการยึดเกาะชั้นดินด้วยดินเหนียวหรือดินร่วงผสมหินปูน ทำให้ต้นองุ่นได้รับแร่ธาตุอย่างเต็มที่ อายุเฉลี่ยของต้นองุ่นในไร่ของ Ausone คือเฉลี่ยประมาณ 50 ปี หรือบางต้นอาจมีอายุถึง 1 ศตวรรษเลยทีเดียว และเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว ผลองุ่นภายในไร่ก็จะถูกเก็บเกี่ยวทั้งหมดด้วยมือ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของผลผลิต

ในปีค.ศ. 2009 Ausone ได้มีการเปลี่ยนแปลงห้องใต้ดินขึ้น โดย Alain Vauthier ได้รับถังแสตนเลสแช่เย็นที่มีความจุ 6 เฮกตาร์ลิตรขนาดเล็กมา จึงนำมาใช้เป็นถังเก็บผลไม้ จนกว่าจะได้ผลผลิตที่เพียงพอต่อการนำไปบรรจุในถังไม้ ถังแสตนเลสแช่เย็นจะช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของผลไม้และความสะอาด อีกทั้งยังง่ายต่อการเคลื่อนย้ายผลไม้ลงในถังไม้โอ๊ก การผลิตไวน์จะเริ่มจากการบ่มแบบเย็นในถังไม้โอ๊กขนาดดั้งเดิมที่มีความจุ 54 เฮกโตลิตร ระยะประมาณ 21-35 วัน จากนั้นจึงค่อยบ่มต่อในถังไม้ใหม่ 100% ไวน์จะถูกบ่มในถังอย่างน้อย 18 เดือน หรือในบางครั้งการบ่มไวน์อาจใช้เวลาถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับเหล้าองุ่น ในช่วงที่บ่มไวน์ในถังไม้ ไวน์จะถูกเปลี่ยนจากถังนึงไปสู่อีกถังนึง เพื่อทำการกำจัดตะกอนทุกๆ 3 เดือน ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้ไวน์มีความใสเหมือนกับไข่ขาว แต่ก็ยังคงรสชาติที่เข้มข้นไว้ ไวน์ Château Ausone จะยิ่งดีมากขึ้นถ้าบ่มไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15-20 ปี ด้วยระยะเวลาการบ่มที่นานจะทำให้ไวน์มีรสชาติที่นุ่มนวลและหอมมากขึ้น

สุดท้ายนี้ การเสิร์ฟไวน์ Château Ausone ที่ดีควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียสหรือ 60 องศาฟาเรนไฮต์ ด้วยความเย็นที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของห้องใต้ดินจะทำให้ไวน์ยังคงความสดชื่นไว้ได้ อีกทั้งไวน์ Chateau Ausone ยังเหมาะแก่การเสิร์ฟคู่กับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อย่างเช่น เนื้อลูกวัว เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อเป็ด ไก่อบ หรืออาหารประเภทอย่างอื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้ Chateau Ausone ยังเข้ากันได้ดีกับอาหารเอเชียอย่างอาหารที่ประกอบไปด้วย ปลาทูน่า เห็ด พาสต้า และชีส

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

La Dame de Montrose เป็นไวน์ลำดับที่สองต่อจาก CHÂTEAU MONTROSE ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยมาตราฐานที่เข้มงวดแบบเดียวกัน โดยผ่านการผสมชนิดของสายพันธุ์องุ่น Merlot ให้มีความอ่อนนุ่มกว่าปกติ จะเห็นได้ชัดจากกลิ่นของผลไม้สีแดงและรสชาติที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้La Dame de Montrose มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และมีโครงสร้างที่ประณีตซับซ้อนน้อยกว่าCHÂTEAU MONTROSE La Dame de Montrose ได้ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1986 เพื่อเป็นเกียรติและสดุดีแก่ Yvonne Charmolue ผู้ที่บริหาร Château Montrose ตั้งแต่ปีค.ศ. 1944 จนถึงปีค.ศ. 1960แต่เพียงผู้เดียว

ไร่องุ่นของ Château Montrose ตั้งอยู่บนหนึ่งในพื้นที่ที่ได้เปรียบที่สุดในการเพาะปลูกไวน์ ด้วยพื้นที่ขนาด 95 เฮกตาร์ หรือประมาณ 593.75 ไร่ ล้อมรอบโรงกลั่นเหล้าองุ่น และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ด้านนอก ทำให้ง่ายต่อการทำงานในไร่ ในไร่องุ่นนี้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นหลัก โดยปลูกทั้งหมด 60% ของพื้นที่ สายพันธุ์ Merlot 32% สายพันธุ์ Cabernet Franc 6% และสายพันธุ์ Petit Verdot อีก 2% โดยที่สายพันธุ์ Cabernet Franc จะเป็นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงและขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอมที่หรูหราที่ส่งผลให้ไวน์ดูสดใหม่และมีความซับซ้อน ในขณะที่สายพันธุ์ Petit Verdot ก็จะช่วยดึงสีของไวน์ออกมา และมีรสชาติที่คล้ายกับเครื่องเทศและพริกไทย

โดยการเพาะปลูกองุ่นนั้นจะเริ่มวางแผนงานกันตั้งแต่ฤดูหนาว ทั้งการถอนต้นองุ่นทิ้ง การปลูกต้นองุ่นต้นใหม่ และการให้ปุ๋ย รวมไปถึงการพิจารณาการตัดแต่งกิ่งของต้นองุ่นตามผลลัพธ์ของเหล้าองุ่นครั้งก่อนหน้า เนื่องจากการตัดแต่งกิ่งจะส่งผลต่อรูปร่างของพืชและผลผลิตของไร่ในอนาคต จากนั้นต้นองุ่นก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และออกดอกในฤดูร้อนช่วงเดือนมิถุนายน กลิ่นหอมที่สดชื่นของดอกไม้จะเต็มไปทั่วบริเวณไร่ จากนั้นในเดือนสิงหาคมองุ่นก็จะเริ่มสุกและค่อยๆเปลี่ยนสีไปจนกระทั่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง การเก็บเกี่ยวองุ่นจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน โดยเริ่มเก็บเกี่ยวจากสายพันธุ์Merlot และปิดท้ายด้วยสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon องุ่นทุกผลจะถูกเก็บด้วยมือ จากผู้เก็บเกี่ยวที่เชี่ยวชาญร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่จะคอยชิมรสชาติของผลองุ่นทุกๆวันเพื่อตัดสินใจในการเก็บเกี่ยวผลผลิต

หลังจากการคัดแยกผลองุ่นในรอบแรกแล้วผลองุ่นก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในโรงเรือน แล้วจึงนำมาคัดแยกด้วยมือและสายตาอีกครั้งก่อนนำไปบรรจุในถัง ทุกๆขั้นตอนของการทำไวน์ได้ถูกออกแบบมาให้ดึงเอาลักษณะของ Terroir และรูปแบบเฉพาะของ Montrose ออกมา โดยจะมีการหมักไวน์ในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใหม่ 30% ระยะเวลาประมาณ 12 เดือน จากนั้นการผสมไวน์จะเริ่มต้นในเดือนธันวาคม ทุกๆตัวอย่างจะถูกชิมและจัดประเภทตามรูปแบบ แล้วจึงค่อยเลือกจากรูปแบบของไวน์ที่จะนำมาผสมให้ได้ตามลักษณะที่ต้องการ จนได้เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้ม และรสชาติที่แน่นและเข้มข้นในตอนแรก จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งรสชาติของไวน์จะค่อยๆนุ่มนวลขึ้น และทิ้งท้ายด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุก

ไวน์ La Dame de Montrose มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ประมาณ 13.5% จึงควรรับประทานคู่กับอาการที่มีการย่าง เคี่ยว หรืออาหารประเภทเนื้อย่าง เช่น สเต็ก เนื้อลูกวัว เนื้อหมู เนื้อวัว และ เนื้อกวาง เป็นต้น นอกจากนี้ไวน์ La Dame de Montrose ยังเข้ากันได้ดีกับชีสอีกด้วย

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru เป็นไวน์แดงจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Château Faugères ที่ได้มีเริ่มมีการผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 ที่เมือง Saint-Émilion ประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ถือได้ว่าเป็นไวน์ลำดับที่สองของแบรนด์ Château Faugères เลยทีเดียว

โดยที่แบรนด์ Château Faugères นั้นมีไร่องุ่นถึง 37 เฮกตาร์ หรือประมาณ 231.25 ไร่ ที่เมือง Saint-Émilion ไร่องุ่นนี้เป็นไร่ที่ได้รับการสนับสนุนการเพาะปลูกองุ่นตามธรรมชาติ และมีการดูแลอย่างพิถีพิถัน โดยต้นองุ่นจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 ปี ซึ่งให้ผลผลิตได้เฉลี่ย 27 hl/ha ต่อไร่ ในระหว่างที่ต้นองุ่นค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นก็จะได้รับการตัดแต่งกิ่งอย่างดี ด้วยระบบการตัดแต่งกิ่งแบบ Guyot double จากนั้นเมื่อต้นองุ่นเติบโตจนสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วนั้นก็จะถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือเพื่อควบคุมรักษาคุณภาพของผลองุ่น จากนั้นก็จะนำผลองุ่นไปคัดแยกถึง 2 ครั้งที่บริเวณห้องใต้ดิน โดยผลองุ่นที่ไม่ผ่านการคัดแยกจะต้องถูกส่งไปยังถังหมักด้วยแรงโน้มถ่วงและต้องไม่ถูกสูบขึ้นมา เมื่อองุ่นถูกแยกกิ่งก้านออกมาเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำไปผ่านกระบวนการหมักผิวองุ่นก่อนเริ่มการหมักจริง โดยในกระบวนการนี้จะใช้อุณหภูมิในการหมักที่ 10 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลา 3-4 วัน เพื่อสกัดสี รสชาติและลักษณะขององุ่นออกมา ในขั้นตอนการหมักไวน์จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสถึง 30 องศาเซลเซียสในถังรูปทรงกรวยที่ทำจากไม้โอ๊ก (conical oak vats) จากนั้นไวน์ก็จะถูกบ่มต่อในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสเป็นระยะเวลา 14 เดือน

ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES เป็นการผสมผสานระหว่างผลองุ่นจาก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Merlot 85% สายพันธุ์ Cabernet Franc 10% และสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% ในการขั้นตอนการหมักไวน์นั้นก็จะเหมือนกับการหมักไวน์ตัวหลักของ Château Faugères ยกเว้นแต่จะในการหมักไวน์ HAUT FAUGÈRES จะใช้ผลองุ่นที่อ่อนกว่า แต่ความแตกต่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพและศักยภาพของไวน์ลดลงไปแต่อย่างใด ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ก็ยังได้รับการแบ่งประเภทให้อยู่ในกลุ่มของ Saint Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES เป็นไวน์ที่มีรสชาติที่คลาสสิกและกลมกล่อม ผสมผสานไปกับกลิ่นหอมของผลไม้ที่สุกเต็มที่ อีกทั้งยังมีกลิ่นของไม้โอ๊กอันเป็นเอกลักษณ์เจืออยู่ด้วย โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12.5% ถึง 14.5% ซึ่งถือได้ว่าเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก

ด้วยลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวไปของไวน์ HAUT FAUGÈRES ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุกและรสชาติที่กลมกล่อม ทำให้ไวน์ HAUT FAUGÈRES นั้นเหมาะสมกับการทานร่วมกับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง หรือ เนื้อสัตว์ปีกอย่าง ไก่ เป็ด และไก่งวง เป็นต้น

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Beaune Du Chateau Premier Cru

Beaune Du Chateau Premier Cru

Beaune Du Chateau Premier Cru นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการผลิตขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคก่อตั้งในปี 1731 Bouchard Père et Fils ได้มีแนวคิดในการสร้างไวน์ที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดให้ออกมาในท้องตลาด ด้วยความเป็นมืออาชีพและใส่ใจในทุกขั้นตอนกระบวนการผลิต ทำให้ทางบริษัทเองไม่เคยหยุดที่จะเลือกหาเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่เหมาะสม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต และยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้ในระดับสูงด้วยแนวคิดที่ว่า การทำไวน์คืองานของยอดฝีมือที่มาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์

ไวน์ Beauno Du Chateau Premier Cru เป็นไวน์แดงที่ถูกผลิตขึ้นในภูมิภาค Bourgogne ของประเทศฝรั่งเศส โดยบริษัท Bouchard Pere & Fils ไวน์ ตัวนี้เป็นไวน์ 1ใน 154 ชนิดที่ทางบริษัทได้ผลิตออกมาเพื่อวางจำหน่ายในท้องตลาด ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการชิมไวน์นี้อยู่ที่ 16 องศาเซลเซียส บรรจุขวดปริมาตร 750 มิลลิลิตร ใช้องุ่นพันธุ์ Pinot Noir ในการผลิต เป็นไวน์สไตล์ Burgundy Cote de Beaune Red ใส่วัตถุกันเสียเพื่อรักษาสภาพของไวน์ สีไวแดงของตัวนี้จะเป็นสีแดงทับทิมเป็นรัศมีล้อมรอบ วนเข้ามาและมีการเคลือบเงาของผิวสัมผัสด้วยสีแดงเลือดหมู

รสชาติโดยรวมของไวน์ตัวนี้ ความรู้สึกเมื่อตัวไวน์สัมผัสกับเพดานปาก จะให้รสชาติที่ค่อนข้างนุ่มละมุนและมีความแห้งในเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างมาก ความเปรี้ยวจากกรดน้ำส้มก็ค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน โครงสร้างโดยรวมของตัวไวน์ค่อนข้างหนาแน่นไปด้วยมวลอณูของแอลกอฮอล์ มีรสชาติของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น เชอร์รี่ สตอเบอรี่ ตัวเบอร์รี่ที่มีสีแดง มากถึง 511 ชนิด รสชาติแบบเอิร์ธโทนที่ต่างกัน 374 ชนิด กลิ่งรถแบบเดียวกับไม้โอ๊ค 337 ชนิด กลิ่นหอมหวานของผลไม้ที่มีสีดำสีเข้มมากถึง 93 ชนิด กลิ่นของเครื่องเทศต่างๆ 89 ชนิด กลิ่นของผลไม้ตระกูลผลส้ม 48 ชนิด กลิ่นของชีสและครีม 38 ชนิด กลิ่นของผลไม้ยืนต้นตระกูแอปเปิล 31 ชนิด กลิ่นของการหมักที่อาศัยระยะเวลาของไวน์แบบเดียวกับขนมปัง ถั่วอัลมอนด์และถั่วอื่นๆมากถึง 28 ชนิด นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ 25 ชนิด  กลิ่นของพืชพันธ์ใบเขียว 19 ชนิด กลิ่นแบบผลไม้แห้ง 13 ชนิด กลิ่นผลไม้เมืองร้อน 8 ชนิด

ไวน์ตัวนี้เหมาะกับการจับคู่กับเมนูอาหารต่างๆที่ทำจาก เนื้อวัว เนื้อลูกวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู เนื้อกวางและ สัตว์ปีก เมนูแบบพาสต้าหรือรีซ็อตโต้ ก็เข้ากัน ชีส Camemberts ก็เข้ากันดี ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้ควบคู่กับไวน์ชนิดนี้จะยิ่งทำให้รสชาติและกลิ่นสัมผัสของไวน์มีความหอมหวานและมีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้นกว่าการรับประทานเพียงแค่ตัวไวน์อย่างเดียว

Beaune Du Chateau Premier Cru

Beaune Du Chateau Premier Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

            Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความนิยมที่ค่อนข้างสูงมาก รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และการถูกผลิตขึ้นมาภายใต้ชื่อแบรนด์อย่าง Chateau Haut-Bages Liberal ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนในการผลิตไวน์และส่งออกไวน์ชื่อดังอย่าง Pauillac ซึ่งเป็นบริเวณตรงกลางระหว่างบริเวณ Saint Estephe และบริเวณ Saint Julien ในเขตเมือง Medoc ของเขตการปกครอง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างไม่ซับซ้อนมากเท่าไหร่นัก โดยทางผู้ผลิตนั้นได้มีการเลือกสรรสายพันธุ์องุ่นยอดนิยมเพียงแค่สองสายพันธุ์เท่านั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot 30% และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 70% ด้วยกัน ซึ่งองุ่นที่นำมาใช้นั้นจะต้องเป็นองุ่นที่ผ่านการเพาะปลูกในสวนและไร่องุ่นของตัวเองเท่านั้น ซึ่งองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกไปหมักลงในถังไม้โอ๊กสายพันธุ์ฝรั่งเศสใบใหม่ประมาณ 40% เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 15-18 เดือนด้วยกัน โดยอายุของไวน์นั้นจะมีอายุอย่างยาวนานมากถึง 35 ปีด้วยกัน

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกลิ่น สีเนื้อสัมผัส และรสชาติที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก โดยเริ่มแรกจากไวน์ชนิดนี้จะเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ค่อนข้างใสสว่าง เป็นสีแดงเข้มราวกับสีแดงทับทิมใส นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้อ มีรสชาติที่ดี มีทั้งความเบาบาง นุ่มนวล และแห้งในเนื้อไวน์อย่างชัดเจน เป็นรสชาติและกลิ่นของไวน์ที่ค่อนข้างหวานราวกับรสชาติของน้ำผลไม้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะกลิ่นและรสชาติของต้นโอ๊กที่ค่อนข้างมีความโดดเด่นเป็นพิเศษอย่างดี รวมทั้งยังมีความเปรี้ยวราวกับกรดของสารแทนนินอีกด้วย

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมอย่างดียิ่ง เป็นไวน์ที่ค่อนข้างมีความเต็มน้ำเต็มเนื้อ และมีเอกลักษณ์จากผลไม้สีแดงหลากหลายชนิดที่ผสานกันกับกลิ่นและรสชาติของต้นโอ๊กอย่างดี ซึ่งนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เหมาะกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12.5-14% อีกด้วยเช่นกัน

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com