Glencadam 25 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นดีอีกรุ่นหนึ่งที่มีการถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยแบรนด์เหล้าวิสกี้ยอดนิยมอย่าง Glencadam ที่ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1825 ที่เมืองเก่าแก่อย่างBrechin และเริ่มผลิตวิสกี้ในปีค.ศ.1827 จากนั้น Glencadam ก็ถูกใช้ในสงครามโลกทั้งสองครั้ง โดยใช้โกดังเก็บของเป็นที่พักของทหาร และยังคงหลงเหลือรอยบนพื้นหญ้าที่โกดังหมายเลข 2 โดยนับตั้งแต่ปีที่ก่อตั้ง Glencadam ขึ้น เป็นระยะเวลากว่า 60 ปีที่โรงกลั่นได้ถูกเปลี่ยนเจ้าของไปหลายครั้งโดยเจ้าของคนแรกคือ Mr Cooper จนเมื่อปีค.ศ.1891 Gilmour Thompson & Co ได้เข้ามาซื้อโรงกลั่นและดำเนินกิจการโรงกลั่นต่อไปอีกกว่า 50 ปีก่อนที่จะขายกิจการให้กับ Hiram Walker ผู้เป็นเจ้าของกิจการโรงกลั่นและผสมวิสกี้ Ballantine
ในช่วงปีทศวรรษที่ 1950 จนถึงทศวรรษที่ 1980 เมื่อ Hiram Walker ถูกซื้อโดย Allied Lyons ซึ่ง Allied ได้ดำเนินการกิจการโรงกลั่นภายใต้ชื่อของ Ballantine แต่ด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากการผลิตที่มากเกินไปทำให้โรงกลั่นต้องปิดตัวลงในปีค.ศ.2000 แต่การปิดตัวของโรงกลั่นก็ไม่ได้นานนักเนื่องจาก Angus Dundee ผู้ผลิตและผสมวิสกี้จากลอนดอนได้เข้าซื้อโรงกลั่นในปีค.ศ. 2003 ปัจจุบัน Glencadam เป็นเพียงโรงกลั่นเดียวที่ยังคงตั้งอยู่ที่เมือง Angus ในพื้นที่ Highlands ประเทศสกอตแลนด์ โดย Glencadam มาจากพื้นที่ที่เรียกว่า “The Tenements of Caldhame” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผลิตอาหารให้กับเมือง Brechin โดยตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Den Burn
วิสกี้ของ Glencadam นั้นจะผลิตจากวัตถุดิบที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำที่ใช้ในการกลั่นวิสกี้นั้นมาจากน้ำพุ The Moorans ที่อยู่ไกลจากโรงกลั่นไปถึง 8.7 ไมล์ น้ำจากน้ำพุ The Moorans นี้ถูกส่งมาทางหุบเขา Unthank โดยอาจเป็นแหล่งน้ำสำหรับกลั่นที่ยาวที่สุดในสกอตแลนด์ก็เป็นได้ นอกจากนี้โรงกลั่น Glencadam ยังสามารถสูบน้ำจาก Barry Burn มาเพื่อใช้ในกระบวนการลดความร้อนลงก็ได้เช่นเดียวกัน
ขั้นตอนการทำวิสกี้ของ Glencadam นั้นจะเริ่มจากการทำมอลต์ โดยเปลี่ยนโปรตีนในเมล็ดข้าวบาร์เลย์ที่ไม่ผ่านการปอกเปลือกให้กลายเป็นน้ำตาล ด้วยการแช่เมล็ดข้าวบาร์เลย์ทิ้งไว้ 1-2 วันเพื่อให้เกิดการแตกหน่อขึ้น จากนั้นนำไปทำให้ร้อนจนแห้งเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของหน่อที่งอกออกมา โดยเชื้อเพลิงที่ใช้จะเป็นหินเลน (Peat) ที่ช่วยให้กลิ่นและรสของวิสกี้ในตอนท้ายมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จากนั้นข้าวบาร์เลย์มอลต์จะถูกนำไปบดที่โรงสีจนได้แป้งที่มีความหยาบมา และนำแป้งที่ได้มาผสมกับน้ำร้อนในภาชนะใหญ่ที่เรียกว่า “mash tuns” เพื่อสกัดเอาน้ำตาลออกจากมอลต์ จนได้ของเหลวที่เรียกว่า “wort” มา โดยกระบวนการนี้ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ต่อมาก็จะนำ wort ที่ได้มาบรรจุในภาชนะทรงลึกที่เรียกว่า wash backs หรือเป็นถังหมักที่มีการคุมอุณหภูมิไว้ที่ 72 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 22 องศาเซลเซียส เมื่อได้อุณหภูมิที่กำหนดแล้วก็จะมีการใส่ยีสต์เข้าไปเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ โดยกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมง จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการกลั่นGlencadam ใช้ไอน้ำเพื่อควบคุมอุณหภูมิของหม้อกลั่นทองแดง โดยแอลกอฮอล์ที่ระเหยจะถูกส่งผ่านท่อที่เรียกว่าท่อน้ำด่างก่อนที่จะถูกรวมและควบแน่นกลับมาเป็นของเหลว ซึ่งการกลั่นนั้นจะทำทั้งหมดสองครั้งเพื่อให้วิสกี้มีความบริสุทธิ์มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรสชาติและปริมาณแอลกอฮอล์ของวิสกี้ให้อยู่ในช่วง 65 – 75% สุดท้ายคือการนำวิสกี้ตอนกลางของการกลั่นมาบรรจุลงถัง เนื่องจากวิสกี้ในตอนต้นและตอนท้ายของการกลั่นไม่มีความบริสุทธิ์เพียงพอ เมื่อบรรจุลงถังเรียบร้อบแล้วก็จะนำไปเก็บไว้อย่างน้อย 3 ปี
สำหรับวิสกี้ Glencadam 25 Year s Old ถือได้ว่าเป็นวิสกี้ที่มีความพิเศษอย่างมาก โดยมีจำนวนจำกัดเพียง 1,600 ขวดเท่านั้น โดยวิสกี้ชนิดนี้จะมีสีเหลืองทองเหมือนกับข้าวบาร์เลย์ พร้อมด้วยกลิ่นหอมของผลไม้จำพวกพีท พลัมหรือเชอร์รี่ กลิ่นของดอกแอปเปิล น้ำผึ้ง และเครื่องเทศอีกเล็กน้อย ทำให้วิสกี้มีรสชาติที่เปรี้ยวของพีท พลัมหรือเชอร์รี่ รสหวานเหมือนกับตังเม ผสมกับกลิ่นถั่วเฮเซลนัทอบ และพริกไทยเล็กน้อย โดยปริมาณแอลกอฮอล์ของวิสกี้ชนิดนี้จะอยู่ที่ 46%
Glencadam 25 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
The Ardmore Port Wood Finish นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ยอดนิยมที่มีการผลิตขึ้นมาโดยโรงกลั่น Ardmore ซึ่งได้มีการก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1898 โดย Adam Teacher ลูกชายของผู้ผสมวิสกี้แห่งเมือง Glasgow อย่าง William Teacher ตระกูล Teacher นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลวิสกี้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสกอตแลนด์ โดยพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะก่อตั้งธุรกิจโรงกลั่นของตัวเองขึ้นมา สถานที่ที่พวกเขาได้เลือกไว้คือบริเวณชานเมืองของหมู่บ้าน Kennethmont ในที่ดินสำหรับทำการเกษตรของเพื่อนเขาที่ Aberdeenshire เนื่องจากบริเวณนั้นมีแหล่งน้ำและถ่านหินเลน (Peat) อยู่เยอะ อีกทั้งรอบๆยังเต็มไปด้วยข้าวบาร์เลย์ที่กำลังออกรวงอยู่ นอกจากนี้โรงกลั่นยังมีที่ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นทางรถไฟสายเหนือ และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 600 ฟุตเลยทีเดียว
ด้วยที่ตั้งของโรงกลั่นที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ทำให้โรงกลั่น Ardmore สามารถขนส่งวัสดุต่างๆจากเมือง Glasgow มายัง Aberdeenshire ได้อย่างเช่น วัว ถัง และวิสกี้ชนิดต่างๆ เป็นต้น ด้วยความสามารถในการขนส่งนี้ทำให้โรงกลั่น Ardmore เจริญรุ่งเรืองขึ้น จากนั้นในปีค.ศ.1976 Ardmore ก็ได้รวมบริษัทกับโรงกลั่น Allied ต่อมาเมื่อโรงกลั่น Allied ได้ถอนตัวออกไปในปีค.ศ. 2006 ทำให้ Teacher’s Ardmore และ Laphroaig ได้ถูกขายให้กับ Beam Global สุดท้ายในปีค.ศ. 2014 โรงกลั่น Ardmore ก็ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Beam Suntory จนถึงปัจจุบัน
Ardmore Single Malt นั้นได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพมาอย่างยาวนาน โดยพวกเขายังคงยึดมั่นในการใช้วิธีการผลิตวิสกี้แบบดั้งเดิม โดยน้ำที่ใช้ในการผลิตวิสกี้มาจากแหล่งน้ำในหุบเขา Knockandy ที่อยู่สูงถึง 1,500 ฟุต เมื่อกลางทศวรรษที่ 70 Ardmore ได้มีข้าวบาร์เลย์สำหรับทำMalting เป็นของตัวเอง โดยการทำ Malting คือการแช่เมล็ดข้าวบาร์เลย์ไว้ประมาณ 24-48 ชั่วโมงให้เมล็ดข้าวมีความชื้นเพียงพอที่โปรตีนจะแตกตัวลง จากนั้นจะใช้เวลา 4-6 วันในการเพาะเมล็ดข้าวบาร์เลย์ให้แตกหน่อออกมา สุดท้ายคือขั้นตอนการนำเมล็ดข้าวบาร์เลย์ที่แตกหน่อเรียบร้อยแล้วไปเผา ความร้อนจะยับยั้งการงอกของเมล็ดข้าวบาร์เลย์ และช่วยลดความชื้นในเมล็ดข้าวลง อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนารสชาติและสี เพื่อให้เกิดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของวิสกี้ขึ้น
ในตอนแรกที่โรงกลั่น Ardmore เริ่มต้นด้วยหม้อสำหรับกลั่นทั้งหมดสองหม้อ แต่หลังจากนั้นจำนวนหม้อกลั่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อง จากหม้อกลั่น 4 หม้อ ก็ได้เพิ่มไปเป็น 8 หม้อตั้งแต่ปีค.ศ.1975 โดยแบ่งออกเป็นหม้อหมักวิสกี้จำนวน 4 หม้อ และหม้อสำหรับการกลั่นวิสกี้อีกครั้ง จำนวน 4 หม้อ โดยที่แต่ละหม้อมีความจุถึง 15,000 ลิตรเลยทีเดียว และในช่วงปีค.ศ. 2000-2001 Ardmore ก็ได้เปลี่ยนไปใช้ถ่านหินแทนการทำให้ร้อนด้วยไอน้ำ จากนั้นเมื่อผ่านกระบวนการกลั่นเรียบร้อยแล้ว วิสกี้ก็จะถูกบรรจุลงในถังไม้โอ๊กสีขาวของอเมริกันที่เคยใช้เก็บเหล้าเบอร์บอนมาก่อน และถูกนำไปเก็บไว้ที่โกดังที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่
วิสกี้ของ Ardmore รุ่น PORT WOOD FINISH นั้นเป็นวิสกี้ที่มีระดับและเอกลักษณ์ที่พิเศษ ด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ 46% โดยวิสกี้ชนิดนี้ถูกหมักในถังเบอร์บอนที่ทำจากไม้โอ๊กสีขาวของอเมริกัน และใช้ท่อ Half port แบบยุโรป ทำให้ได้ของเหลวที่ใส หวาน และมีความสมดุลของผลไม้และกลิ่นควัน อีกทั้งยังใช้การบ่มผ่านเครื่องกรองที่ไม่ได้แช่เย็นเป็นเวลา 12 ปี จนได้วิสกี้ที่มีสีเหลืองทอง และกลิ่นหอมที่ซับซ้อนของสตรอเบอร์รี่ ผลไม้ในฤดูร้อนพริกไทย ส้มเผา อบเชย เป็นต้น สำหรับรสชาติจะได้รสของแอปเปิลสีแดงที่หวาน น้ำผึ้งและกลิ่นถ่านไม้จางๆ และรสสัมผัสที่อ่อนนุ่มยาวนานในช่วงท้าย
The Ardmore Port Wood Finish
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Glen Scotia 45 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ยอดนิยมที่ถูกส่งตรงมาจากแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังอย่าง Glen Scotia ที่เป็นหนึ่งในโรงกลั่นเหล้าสก็อตวิสกี้ขนาดเล็กในประเทศสกอตแลนด์ มีชื่อเดิมว่าโรงกลั่น Scotia ก่อตั้งขึ้นโดย Stewart, Galbraith & Co เมื่อปีค.ศ. 1832 ที่ Campbelltown ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความพิเศษอย่างมากในสกอตแลนด์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล” เลยทีเดียว
ครอบครัว Galbraith ได้เป็นเจ้าของโรงกลั่น Scotia จนถึงปีค.ศ. 1919 หลังจากนั้นพวกเขาได้ขายโรงกลั่นให้กับ West Highland Malt Distillers ผู้เป็นคนก่อตั้ง Glen Scotia ขึ้น แต่ West Highland Malt Distillers กลับล้มละลายลงในอีกห้าปีต่อมา และโรงกลั่นนี้ก็ได้ถูกส่งต่อกรรมสิทธิ์ให้กับ Duncan McCallum ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการของ West Highland Malt Distillers แทน ในปีค.ศ. 1928 Duncan McCallum ถูกข้อตกลงพวกธุรกิจนอกกฎหมายเล่นงานจนล้มละลาย และทำให้ Glen Scotia ต้องปิดตัวลง หลังจากนั้น Duncan McCallum ได้จบชีวิตลงด้วยการจมน้ำตายที่ Campbell Loch ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายน้ำไปยังโรงกลั่นต่างๆ ของเมือง จากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1920 หลังจากที่ผ่านพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 1 มาได้แล้วนั้น พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับภาวะการขาดทุนอย่างมากจากข้อบังคับที่ห้ามส่งออกผ่านทางมหาสมุทรแอตแลนติก จนกระทั่งได้มีคำสั่งยกเลิกข้อบังคับดังกล่าว การผลิตวิสกี้จึงกลับมาอีกครั้งในปีค.ศ. 1933 ต่อมาในปีค.ศ. 1954 โรงกลั่นก็ได้เปลี่ยนมือไปเป็นของ Hiram Walker และได้เปลี่ยนเป็นของ A. Gilies & Co ที่เป็นส่วนหนึ่งของAmalgated Distillers Products ในปีค.ศ. 1970 โดยในช่วงนี้ได้มีการบูรณะโรงกลั่นทั้งหมดขึ้นใหม่ แต่ในปีค.ศ. 1980 พวกเขาก็ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจของอังกฤษ จนโรงกลั่นต้องปิดตัวลงอีกครั้งในปีค.ศ. 1984 จนถึงปีค.ศ. 1989 Gibson International ได้เข้าซื้อกิจการของโรงกลั่น แต่ในปีค.ศ.1994 โรงกลั่น Glen Scotia ก็ต้องยุติการผลิตขึ้นอีกครั้งในช่วงการเปลี่ยนเจ้าของโรงกลั่น จาก Gibson มาเป็น Glen Catrine Bonded Warehouse Ltd จนถึงปัจจุบัน
Glen Scotia เป็นโรงกลั่นขนาดเล็กที่ผลิตวิสกี้ได้จำนวน 750,000 ลิตรต่อปี โดยโรงกลั่นจะสูบน้ำจาก Crosshill Loch และบ่อน้ำลึกภายในท้องที่ โดยในปัจจุบันถือได้ว่า Glen Scotia เป็นหนึ่งในสามโรงงานที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ที่ Campbeltown ภายในโรงกลั่นจะมีหม้อหมักวิสกี้ที่มีความจุถึง16,000 ลิตรจำนวนหนึ่งหม้อ และหม้อที่มีความจุ 12,000 ลิตรอีกหนึ่งหม้อ โดยหม้อนี้จะใช้สำหรับการกลั่นวิสกี้อีกครั้งเพื่อให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น รวมไปถึงทำให้วิสกี้มีรสชาติมากยิ่งขึ้น สำหรับมอลต์ที่ใช้ในการผลิตวิสกี้ของ Glen Scotia จะใช้มอลต์จาก Greencore Maltings ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสกอตแลนด์ โดยมอลต์จะถูกนำไปรมควันจางๆด้วยถ่านหินเลน (Peat) ให้มีกลิ่นของการเผาไหม้นิดๆในวิสกี้ จากนั้นซิงเกิลมอลต์วิสกี้ก็จะถูกบ่มในถังที่ทำจากไม้โอ๊กอเมริกัน และถูกเก็บในโกดังของ Glen Scotia ที่สามารถบรรจุได้ถึง 7,500 ถังเลยทีเดียว
โดย Glen Scotia 45 Year Old เป็นวิสกี้ที่เก่าแก่ที่สุดของ Glen Scotia ที่กลั่นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ปีค.ศ. 1973 ในถังเบอร์บอนเดิม และถูกเก็บไว้นานกว่า 3 ทศวรรษ จากนั้นจึงมีการเติมเบอร์บอนอีกครั้งเมื่อปีค.ศ. 2011 และนำวิสกี้ที่ได้มาบรรจุลงขวดในปีค.ศ. 2019 เพียง 150 ขวดเท่านั้น โดยปริมาณแอลกอฮอล์ของวิสกี้ชนิดนี้จะอยู่ที่ 43.8% พร้อมด้วยกลิ่นหอมของสับปะรดสุก แอปเปิลเขียว กลีบดอกกุหลาบ ฝักวานิลลา และไม้โอ๊กรมควัน และได้รสชาติที่ซับซ้อนของคาราเมล สับปะรด มะม่วง แตงโม วานิลลาและน้ำผึ้ง พร้อมด้วยความเค็มนิดๆของเกลือทะเล และมะนาวในตอนท้าย
Glen Scotia 45 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Signatory M illennium Edition 1968 Caperdonich นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นเลิศที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากฝีมือของแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังอย่าง Signatory ซึ่งเป็นผู้บรรจุวิสกี้อิสระชั้นนำของสกอตแลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 โดย Andrew Symington จากนั้นในปี 1992 ธุรกิจโรงกลั่นขยายตัวอย่างมากจนสามารถย้ายโรงกลั่นไปอยู่ในสถานที่ใหม่ที่มีความกว้างขวางมากกว่าเดิม โดยในสถานที่ใหม่นี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้สามารถบรรจุวิสกี้ลงขวดได้ ในตอนแรกพวกเขาก็ได้จัดตั้งระบบบรรจุขวดขนาดเล็กขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่การบรรจุวิสกี้ลงในถังเดี่ยว
ถึงแม้ว่าการบรรจุวิสกี้ลงในขวดจะเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติ แต่การให้ความสำคัญกับการปฏิบัติด้วยมือก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ โดยเฉพาะการใช้มือติดฉลากและบรรจุผลิตภัณฑ์ลงในแพ็คเกจต่างๆ เพื่อเพิ่มความพิเศษในการบรรจุขวด และในบางครั้งพวกเขาได้ระบุหมายเลขของถังบ่ม วันที่กลั่น รวมไปถึงวันที่ทำการบรรจุวิสกี้ลงขวด ไว้ในฉลากด้วย อีกทั้งวิสกี้แต่ละขวดก็จะมีหมายเลขกำกับ และยังถูกนับด้วยมืออีกด้วย หลังจากนั้นในปี 2002 Andrew Symington ได้ซื้อโรงกลั่น Edradour เมือง Perthshire ที่อยู่ในพื้นที่ Highland บริเวณภาคกลางของสกอตแลนด์ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างมากในการผลิตวิสกี้ โดยที่ Highland นี้ก็เต็มไปด้วยโรงกลั่นกว่า 40 แห่งที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วพื้นที่ รวมไปถึงโรงกลั่นที่เก่าแก่ที่สุดของสกอตแลนด์ก็ตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ด้วยเช่นกัน และสุดท้ายการดำเนินงานต่างๆภายในโรงกลั่นของเดิมก็ได้ย้ายไปเริ่มต้นใหม่ที่โรงกลั่น Edradour แทน
ในทุกๆการเปิดตัวสินค้าวางจำหน่ายใหม่ ก็จะมีวิสกี้กว่า 50 ชนิดที่ถูกจัดทำเป็นคอเล็กชั่นต่างๆ โดยเกือบทั้งหมดเป็นวิสกี้ที่ถูกสลักเลขปีเดียวกัน โดยช่วงมาตรฐานของวิสกี้คือวิสกี้จะต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป และบรรจุลงขวดที่ปริมาณของแอลกอฮอล์ 43% ในขณะที่คอเล็กชั่นวิสกี้ของ Cask Strength จะมีลักษณะเฉพาะของวิสกี้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี และกลุ่มที่สามคือกลุ่มคอเล็กชั่นของ Un-chillfiltered ที่เป็นกลุ่มวิสกี้แบบซิงเกิลมอลต์ที่มีความเข้มข้น โดยในคอเล็กชั่นของกลุ่มนี้จะใช้วิธีการกรองวิสกี้แบบเย็นเพื่อควบคุมความขุ่นหมองของวิสกี้ ด้วยการกำจัดไขมันและน้ำมันที่พบได้ตามธรรมชาติของข้าวมอลต์ออกไป
โดยซิงเกิลมอลต์สก็อตวิสกี้ของ Signatory Vintage Millennium Edition Caperdonich 30 Year Old เป็นวิสกี้บรรจุขวดที่หายากที่ถูกกลั่นเมื่อปีค.ศ. 1968 และใช้ระยะเวลาในการบ่มถึง 30 ปี อีกทั้งยังมีจำนวนจำกัดเพียง 260 ขวดเท่านั้น โดยวิสกี้นี้เป็นวิสกี้ที่ถูกดึงออกมาจากถังหมายเลข 3560 และปริมาณแอลกอฮอล์ของวิสกี้ชนิดนี้อยู่ที่ 50.3% ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงพอสมควร อีกทั้งวิสกี้ชนิดนี้ยังมีกลิ่นหอมขององุ่น เหล้าส้ม และกลิ่นธูปอ่อนๆ อีกด้วย
Signatory M illennium Edition 1968 Caperdonich
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Balblair 69 นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งตรงมาจากโรงกลั่น Balblair เป็นโรงกลั่นที่เก่าแก่ที่สุดของสกอตแลนด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1790 โดยคนท้องที่อย่าง John Ross ที่หมู่บ้านเอ็ดเดอร์ตัน ในทางเหนือของพื้นที่ Highland ประเทศสกอตแลนด์ และรายล้อมไปด้วยภูเขาที่สูงชัน
ในปีค.ศ.1836 John Ross ได้เสียชีวิตลง โรงกลั่น Balblair จึงส่งต่อให้กับลูกชายของเขาอย่างAndrew Ross เป็นผู้รับสืบทอดต่อ และในปีค.ศ.1872 Andrew Ross ก็ได้เปลี่ยนแปลงอาคารหลังเก่าให้กลายเป็นโกดังเก็บของแทน ในปีค.ศ.1911 โรงกลั่น Balblair ต้องยุติการผลิตลงเนื่องจากประสบปัญหาพิษเศรษฐกิจ จากนั้นในปีค.ศ.1948 โรงกลั่น Balblair ได้กลับมาผลิตเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มาได้ภายใต้การดูแลของ Bertie อีกหนึ่งปีต่อมา Robert James Bertie ได้เข้าซื้อโรงกลั่น Balblair ด้วยเงินจำนวน 48,000 ปอนด์ หรือประมาณ 2,130,347.52 บาท ต่อมาความต้องการซื้อวิสกี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทำให้ James Bertie ตัดสินใจลงทุนเพิ่มในส่วนของโกดังเก็บของและหม้อต้มไอน้ำเครื่องแรก แต่เมื่อปีค.ศ.1970 James Bertie ก็ได้ขายโรงกลั่นให้กับชายที่ชื่อ Hiram Walker และตลอดทศวรรษที่ 1980 โรงกลั่น ก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างกว้างขวาง จวบจนปีค.ศ.1996 โรงกลั่น Balblair ก็ได้ถูกขายอีกครั้งให้กับ Inver House Distillers โดยตั้งแต่ปีค.ศ.2007 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เหล้าวิสกี้สไตล์วินเทจของ Balblair ที่ออกวางจำหน่ายทุกขวดจะมีเครื่องหมายของปีที่กลั่นระบุไว้
โดยวิสกี้ของ Balblair นั้นถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมความยึดมั่นของทุกๆคนในโรงกลั่น ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดอย่างพิถีพิถัน พร้อมกับกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ช่างฝีมือใช้ความอดทนและอุทิศตัวอย่างมากในการผลิตเพื่อให้ได้วิสกี้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในขั้นตอนการหมักใช้เวลาถึง 36 ชั่วโมงซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานเป็นพิเศษ ประกอบกับการกลั่นที่ช้าเป็นพิเศษอีกกว่า 42 ชั่วโมง ด้วยกระบวนการผลิตที่ยาวนานนี้ทำให้พวกเข้าสามารถควบคุมเวลาเพื่อสร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาได้ รวมไปถึงเครื่องหมายตัว Z ที่ถูกสลักลงไปบนขวด Balblair แต่ละขวด เพื่อเป็นการระลึกถึงประวัติศาสตร์ของความสมบูรณ์อันยาวนาน ตั้งแต่ข้าวบาร์เลย์ Black Isle ไปจนถึงสายน้ำที่ไหลผ่านไปยังหุบเขา Edderton เพื่อให้ได้สัมผัสถึงรสชาติของท้องถิ่นตามธรรมชาติ
โรงกลั่นวิสกี้จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะที่ตั้งและที่มาของแหล่งน้ำ รวมไปถึงรูปทรงและไม้ประเภทต่างๆที่จะเป็นตัวกำหนดเอกลักษณ์ของวิสกี้ขึ้นมา โดยวิสกี้ของ Balblair เป็นวิสกี้แบบซิงเกิลมอลต์ (Single Malt) หรือเหล้าวิสกี้ที่มีความเข้มข้นมากที่สุดในโลก วิสกี้มอลต์สก็อตของ Balblair จะมีรูปแบบที่ซับซ้อนและน่าประทับใจ เริ่มต้นรสชาติด้วยลักษณะเด่นของผลแอพริคอท ส้ม เครื่องเทศ กลิ่นหอมของแอปเปิลเขียวและดอกไม้ และปิดท้ายด้วยความมันที่เข้มข้น ซึ่งวิสกี้ของ Balblair จะถูกบ่มอยู่ในถังไม้โอ๊กอเมริกัน และมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 41.4%
Balblair 69
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Brora 1978 Aged 40 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งตรงมาจากแบรนด์เหล้าวิสกี้อย่าง Brora ที่มีการก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1819 ภายใต้ชื่อ Clynelish ซึ่งเป็นโรงกลั่นที่ตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของเมือง Highland ประเทศสกอตแลนด์ โดยมาร์ควิสแห่งสตาฟฟอร์ด (Marquis of Stafford) และได้แต่งงานกับครอบครัวซัทเทอร์แลนด์ จนได้กลายเป็นดยุกคนแรกแห่งซัทเทอร์แลนด์ (Duke of Sutherland) เดิมทีโรงกลั่นแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อนำวิสกี้ท้องถิ่นออกมาจากผู้ค้าของเถื่อน ในปีค.ศ.1896 James Ainslie และ Heilbron ได้ร่วมกันสร้างโรงกลั่นที่เมืองกลาสโกว์ขึ้นมาใหม่
ต่อมาในปีค.ศ. 1967 โรงกลั่นที่สร้างขึ้นใหม่ก็ยังคงอยู่ภายใต้ชื่อของ Clynelish อยู่ โดยใช้ชื่อเป็น Clynelish B และให้โรงกลั่นโรงเก่าใช้ชื่อว่า Clynelish A ซึ่งโรงกลั่นแห่งใหม่อย่าง Clynelish B ได้ก่อตั้งขึ้นบนถนนที่ตัดผ่านโรงกลั่น Clynelish เดิม หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมาโรงกลั่น Clynelish B ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ และได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก Clynelish เป็น Brora ที่มีความหมายว่า “ สะพานข้ามแม่น้ำ” แทน หลังจากนั้นอีกสองปีต่อมา โรงกลั่น Clynelish A ก็ได้ปิดตัวลงในปีค.ศ. 1968 แต่ปิดตัวลงได้ไม่นานโรงกลั่น Clynelish A ก็ได้กลับมาเปิดให้บริการใหม่อีกครั้งเนื่องจากความต้องการวิสกี้ที่ผลิตจากโรงกลั่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยวิสกี้ชนิดใหม่นี้จะมีกลิ่นควันที่มากกว่าวิสกี้ชนิดก่อน ด้วยข้อแตกต่างของวิสกี้ที่ผลิตจากทั้งโรงกลั่น Clynelish A และ โรงกลั่น Clynelish B นี้ ทำให้กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตได้เรียกร้องให้โรงกลั่นทั้งสองแห่งนี้แยกตัวออกจากกัน จากนั้นในปีค.ศ.1983 โรงกลั่น Clynelish A ที่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Brora ก็ได้ปิดตัวลงอีกครั้งเนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลง ปัจจุบันอาคารของโรงกลั่น Brora ได้ถูกใช้เป็นโกดังเก็บของ และศูนย์รับรองแขกที่มาเยี่ยมชมโรงกลั่น Clynelish B ที่ยังเปิดให้บริการอยู่
โดยวิสกี้ของ Brora ได้ถูกบรรจุขวดและออกวางจำหน่ายอีกครั้งเมื่อปีค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาด้วยจำนวนจำกัดเพียง 1819 ขวดเท่านั้นจากวิสกี้ที่บ่มในถังไม้โอ๊กอเมริกันกว่า 15 ถัง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 200 ปีของโรงกลั่น ด้วยวิสกี้ถูกบ่มในถังไม้โอ๊กอเมริกันเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี โดยมีปริมาณของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 49.2 % และมีกลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผลไม้หวาน ผลมะเดื่อสุก กลิ่นควันไฟและกำมะถันอ่อนๆ พร้อมด้วยรสสัมผัสที่เรียบเนียนอ่อนนุ่มคล้ายขี้ผึ้งบางๆ และรสชาติความอุดมสมบูรณ์ของผลไม้สีเข้มที่มีรสหวาน มะเดื่อแห้ง อินทผลัม ความเผ็ดจากพริกไทยขาวเล็กน้อย จากนั้นจึงตบท้ายด้วยกลิ่นควัน Peat อ่อนๆ หลังจากการวางจำหน่ายวิสกี้ในปีค.ศ. 2019 แล้ว ทางบริษัท Diageo ได้กล่าวว่าโรงกลั่น Brora จะกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในปีค.ศ. 2020
Brora 1978 Aged 40 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Bowmore 1973 43 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นเยี่ยมและได้รับความนิยมที่ได้รับการสร้างสรรค์และการผลิตขึ้นมาโดยแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังอย่าง Bowmore ซึ่งเป็นแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังที่มีชื่อเสียงคุ้นหูกันในวงการเหล้าวิสกี้ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านหมู่เกาะ Islay ของประเทศสกอตแลนด์ในสหราชอาณาจักร
โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่มีกระบวนการผลิตและขั้นตอนที่ค่อนข้างไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ว่าทางผู้ผลิตเน้นการผลิตเหล้าวิสกี้ด้วยการอาศัยเวลาในการหมักมากกว่า เนื่องด้วยทางผู้ผลิตได้มีการเลือกนำเอาวัตถุดิบยอดนิยมและมีความเชี่ยวชาญในการผลิตอย่างมากอย่างข้าวบาร์เลย์แท้ 100% หรือที่ใครหลายคนในวงการเหล้าวิสกี้ต่างล้วนเรียกชื่อวัตถุดิบนี้ว่า “เหล้าซิงเกิลมอลต์ (Single Malt)” โดยวัตถุดิบทั้งหมดที่ผ่านการเลือกสรรมานั้นทางผู้ผลิตจะนำไปหมักลงในถังไม่โอ๊กที่ใช้ในการหมักเหล้าเบอร์บอนเป็นจำนวน 6 ถังสุดท้ายที่มีการสร้างถังนี้มาตั้งแต่ในช่วงปี 1973 ด้วยกัน ซึ่งมีนักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์เหล้าวิสกี้ต่างล้วนคาดเดาว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้น่าจะถูกให้กำเนิดขึ้นมาในช่วงระหว่างวันที่ 10 เดือนพฤษภาคมปี 1973 จนถึงช่วงวันที่ 2 ของเดือนมิถุนายนของปีเดียวกัน
ซึ่งเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ที่มีองค์ประกอบที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีลักษณะภายนอกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านเนื้อสัมผัส กลิ่นและรสชาติของเหล้าวิสกี้ โดยเริ่มต้นจากสีของเนื้อสัมผัสของเหล้าชนิดนี้ที่เป็นสีเหลืองทองอำพันสวยงาม บวกกันกับกลิ่นและรสชาติของเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ที่มีองค์ประกอบที่โดดเด่น เช่น ขิง สับปะรด มะม่วงและต้นโอ๊กอย่างดี
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีกลิ่นและรสชาติที่เต็มน้ำเต็มเนื้ออย่างดี มีทั้งความหวานในตัวเนื้อสัมผัสของเหล้าวิสกี้อย่างดี มีความโดดเด่นของขิง สับปะรด มะม่วงและต้นโอ๊ก นอกเหนือจากนี้เหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าวิสกี้ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 43.2% ซึ่งนับได้ว่าไม่ค่อยสูงมากเมื่อเทียบกับเหล้าวิสกี้ทั่วไป รวมทั้งยังเป็นเหล้าที่มีปริมาตรของขวดอยู่ที่ 700 มิลลิลิตร และเป็นเหล้าวิสกี้ที่มีการผลิตและจำหน่ายแค่ปริมาณจำนวนที่จำกัดและมีอายุของเหล้ามากกว่า 30 ปีขึ้นไปด้วยกัน
Bowmore 1973 43 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Brora 30 Years Old นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้อีกหนึ่งชนิดในกลุ่มเหล้าซิงเกืลมอลต์ที่จัดอยู่ในซีรีย์ของ Diageo Special Release 2007 อายุ 30 ปี ตัวนี้ จะมีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 55.7% ปริมาตรสุทธิบรรจุที่ 700 มิลลิลิตรและ 750 มิลลิลิตร บรรจุลงขวดเพื่อจำหน่ายในปี 2007 ผ่านกระบวนการหมักบ่มจากถังไม้สองชนิด ได้แก่ ถังไม้เชอร์รี่และถังไม้โอ๊กที่ใช้ในการหมักเหล้าเบอร์บอนชั้นเยี่ยม โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้ถูกผลิตออกมาในจำนวน 2958 ขวดเท่านั้น
กลิ่นของวิสกี้อายุ 30 ปีตัวนี้ สัมผัสแรกที่ได้กลิ่นทำให้เห็นภาพของฟาร์มขนาดใหญ่ ที่มีกลิ่นของใบหญ้าสด กลิ่นของคอกวัว เครื่องหนังแบบที่ใช้กับอานม้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของถ่านไม้ถ่านหิน และกลิ่นที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งคือกลิ่นของชีสนมแพะ ที่ปรากฏออกมาด้วย การเลือกกลิ่นของใบยาสูบกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายกลิ่นลมทะเล มีกลิ่นที่ชัดเจนขึ้นของกลิ่นยาทาบรรเทาปวด (ยาหม่อง) ตามมาด้วยกลิ่นฟางแห้ง และมีกลิ่นของยีสต์เล็กน้อย แม้ตัวของวิสกี้จะมีสีเหลืองอ่อนคล้ายสีน้ำ Apple แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นรสที่ออกไปทางผลไม้หลากหลายชนิดที่มีจำนวนอยู่มากมายนัก น้ำเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วิสกี้ตัวนี้มีรสชาติที่กลมกล่อมขึ้นและนำเอากลิ่นหวานแบบวานิลลาออกมาได้ชัดเจนขึ้นถือว่ามีเอกลักษณ์มาก
มาถึงรสชาติที่ได้จากการจิบวิสกี้ Brora สะพัดแรกรู้สึกว่าทรงพลังมาก มีกลิ่นหอมของเหล้าหวานที่ทำจากข้าว กลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในปากค่อนข้างหอมมันและเข้มข้น มีกลิ่นของมัสตาร์ดเด่นชัดขึ้นมา ทิ้งช่วงสักครู่หนึ่งจะมีกลิ่นหอมแบบถ่านไม้รมควันขึ้นมา ตัวของน้ำวิสกี้ทำหน้าที่ดึงเอากลิ่นของ Appleออกมาได้อย่างดี ตามด้วยกลิ่นหอมเปรี้ยวแบบพายมะนาวและขิง
ปิดท้ายรสชาติของตัววิสกี้ ด้วยสัมผัสหอมหวานของเหล้าหวานที่ทำจากข้าว กลิ่นควันหอมแบบกล่องไฟและกลิ่นหอมเผ็ดร้อนของพริกไทยยังคงวนอยู่ในปากในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจะค่อยๆค่อยๆจางไป
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าวิสกี้ Brora 30 Years Old ชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นวิสกี้ที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง มีความเป็นเอกลักษณ์ค่อนข้างสูง และถ้าคุณเป็นคนที่นิยมวิสกี้แบบซีเรียสจริงจัง นี่คือตัวจบแน่นอน
Brora 30 Years Old
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Littlemill Private Cellar Edition 2015 นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ในกลุ่มเหล้าซิงเกิลมอลต์อายุ 25 ปี จากดินแดนด้านการผลิตเหล้าวิสกี้อย่าง Lowland ประเทศสกอตแลนด์ วิสกี้ตัวนี้บรรจุลงขวดจำหน่ายเมื่อปี 2015 วางจำหน่ายในซีรีย์ Private Cellar Edition กระบวนการหมักบ่มจากถังไม้ Oloroso Sherry cask ผลิตออกมาจำนวน 1500 ขวดทั่วโลก ปริมาณแอลกอฮอล์ 50.4% ปริมาตรสุทธิ 700 มิลลิลิตร
โดยเหล้าวิสกี้ชนิดนี้เป็นเหล้าวิสกี้ที่มีกลิ่นและรสชาติของวิสกี้อายุ 25 ปีตัวนี้ มีกลิ่นของผลไม้เขตร้อนปะปนอยู่ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยจนเกินไปนักกลิ่นของลูกกวาดรสส้ม ถั่ววอลนัท และกลิ่นของใบยาสูบ(แบบเคี้ยว)ลอยออกมาเตะจมูกมาก่อนใคร ตามมาด้วยกลิ่นของดาร์กช็อกโกแลตและกลิ่นเครื่องหนังฟอกใหม่ๆให้ความสดชื่นแบบหรูหรา กลิ่นหอมเปรี้ยวแบบเสาวรส องุ่นสีชมพู และส้มแมนดาริน ถ้าริงวิสกี้ใส่แก้วทิ้งไว้แบบนั้นสักครู่หนึ่งจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นแบบผลไม้หลากหลายชนิดที่มากขึ้น จนแทบจะฟุ้งเต็มห้องเลยก็ว่าได้
สัมผัสแรกเมื่อวิสกี้ได้ผ่านมาที่เพดานปาก มีกลิ่นของยาสูบนำมาก่อนค่อนข้างเด่นชัด และมีกลิ่นของมิ้นท์แซมมา สักครู่จึงจะปรากฏกลิ่นของผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวต่างๆเช่นส้มแมนดารินและองุ่น ตามมาและให้ความสดชื่นเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้พอสมควร ซึ่งสวนทางกับอายุของตัววิสกี้มากเลยแต่ก็ถือว่ามีชีวิตชีวาดีเมื่อได้ลองชิม สัมผัสต่อมาในช่วงกลาง มีกลิ่นของไม้ปรากฏออกมาเคล้าไปกับกลิ่นหอมของชาดำอ่อนๆ
ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าเหล้าชนิดนี้จะจบรสชาติได้อย่างน่าประทับใจ รสชาติยังคงค้างอยู่ในปากระยะเวลาหนึ่ง แต่เปลี่ยนจากความหอมหวานในช่วงแรกกลายเป็นเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังโอเคยังมีความสดชื่นหลงเหลืออยู่พอให้รู้สึกแบบแจ่มชัด
Littlemill Private Cellar Edition 2015
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Port Ellen 1981 Aged 33 Years Old Natural Cask Selection นับได้ว่าเป็นเหล้าวิสกี้ในกลุ่มเหล้าซิงเกิลมอลต์ที่ถูกส่งตรงมาจากหมู่เกาะ Islay ของประเทศสกอตแลนด์ ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นของหายากในวงการเหล้าสก๊อตวิสกี้เลยทีเดียวเพราะถูกผลิตออกมาเพียง 210 ขวดทั่วโลก โดยแบรนด์เหล้าวิสกี้ชื่อดังอย่าง Diageo ซึ่งเหล้าวิสกี้อายุ 33 ปีตัวนี้ถูกผลิตขึ้นเมื่อปี 1981 บรรจุลงขวดเพื่อทำการจำหน่ายในปี 2015 ปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 50.5% ปริมาตรสุทธิบรรจุลงขวด 700 มิลลิลิตรความพิเศษของขั้นตอนการทำคือใช้ถังเดียว (Single Cask) ในการหมักบ่มทั้งกระบวนการ (Single hogshead #1295)
ถือเป็นหนึ่งขวดที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ Port Ellen ได้เอามาออกจำหน่าย และนักดื่มทุกท่านน่าจะต้องทวีความกลัวขึ้นไปอีกเมื่อได้รับทราบว่านี่คือหนึ่งในไม่กี่ขวดที่ยังหลงเหลืออยู่จากสต๊อกของโรงกลั่นนี้ หลังจากโรงกลั่นถูกปิดไปในปี 1983 รายคุณก็ยังรอประกาศอย่างเป็นทางการในการเปิดโรงกลั่น ในตำนานนี้ใหม่อีกครั้งหนึ่งเพราะทุกคนคาดหวังที่จะได้เห็นวิสกี้ที่โดดเด่นแบบนี้ถูกผลิตโดย Port Ellen อีกครั้ง และหากยังมีโอกาส Port Ellen 33 year old ตัวนี้ถือเป็นอีกความคุ้มค่า ไม่รู้ว่านักชิมทุกท่านจะได้มีโอกาสพบเจออีกหรือไม่
โดยคุณ Peter Fairbrother ผู้อำนวยการด้านการตลาดในระดับนานาชาติ (Global Marketing Director) ของ Diageo Global Travel and Middle East ได้กล่าวไว้ว่า เหล้าซิงเกิลมอลต์วิสกี้ตัวนี้นับได้ว่าเป็นของที่หายากมาก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นมาก มีมูลค่าสูงมากเป็นอันดับต้นๆของโลกนี้เลยก็ว่าได้ เป็นของดีที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยขวดในโลกนี้
ด้วยความหายากนี่เอง จึงเป็นที่ต้องการของนักวิจารณ์ทั้งหลายที่จะนำมาเขียนสาธยายถึงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และรสชาติอันล้ำลึกที่ถูกกล่าวขานมาเนิ่นนาน แต่ก็แทบจะไม่มีใครเคยได้ลิ้มลองเลยสักครั้งในช่วงอายุของแต่ละท่าน มีเพียงคำบรรยายสั้นที่ถูกนิยามเอาไว้ว่า “นุ่มนวลลุ่มลึก เริ่มต้นด้วยความหวานก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็น ความสดชื่นแบบลมทะเลพัดเข้ามาข้างชายฝั่ง และตามลักษณะภายนอกของเหล้าเป็นแบบเครื่องเทศหอมหลงเหลืออยู่ก่อนจะค่อยๆค่อยๆจางไป” ด้วยการบรรยายเอาไว้แบบนี้ น่าจะคุ้มค่า หากว่ามีนักชิมท่านใดหามาลิ้มลองได้ในเร็ววัน
Port Ellen 1981 Aged 33 Years Old Natural Cask Selection
ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ
Posts navigation
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!