มีปริมาณแอกอฮอล์ประมาณ 12% ซึ่งมีกระบวนการผลิตโดยทำมาจากองุ่นหลากหลายพันธ์
คือ Merlot65% ,CarbanetSayvignon 20% และ Cabernet Franc 15% โดยไวน์ชนิดนี้เกิดจากการหมักองุ่น
ทั้งสามพันธุ์ลงในถังไม้ ทำให้ไวน์ชนิดนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ช่วงประมาณ 12-13% นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้
ยังเกิดจากการรังสรรค์และการคิดค้นโดย Baron Philippe de Rothschild S.A.
มีชื่อเสียงในการออกแบบไวน์ระดับโลก
สีของไวน์จะเป็นสีแดงทับทิมไฮไลท์สีม่วงเงางาม ไวน์ตัวนี้เมื่อเปิดออกกลิ่นจะค่อนข้างแรง
และออกจะเผ็ดซักเล็กน้อย อีกทั้งยังมีกลิ่นที่หอมและมีเสน่ห์มาจากผลเบอร์รี่สีแดงและสีดำ
ที่มาพร้อมกับกลิ่นของสะระแหน่และแยมสตรอว์เบอรร์รี่ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ที่มิอาจลืมได้
ลงจากกลิ่นหอมของผลไม้ โดยเฉพาะกลิ่นของสตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ รวมทั้งยังมีกลิ่นเข้มนิดๆอย่างกลิ่นของไวน์
สาเกมาช่วยตัดความหวานที่มาจากผลไม้ที่มาจากไวน์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ไวน์ยังมีกลิ่นเปรี้ยวหน่อยๆของเลม่อน
มาช่วยชูกลิ่นของไวน์ให้ดีขึ้นอีกด้วย โดยกลิ่นทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้นเป็นกลิ่นที่ผสมรวมกันได้อย่างสมดุลและลงตัว
นอกจากนั้น ไวน์ชนิดนี้ยังมีการเพิ่มพริกไทยลงไปเพื่อเสริมความเผ็ดและฉุนให้แก่ตัวไวน์แทนที่
จะมีการใส่เครื่องเทศจำพวกอบเชยอย่างที่ไวน์ทั่วไปเป็น
ด้วยโครงสร้างที่ดีของไวน์ตัวนี้ ประกอบกับการสัมผัสรสที่มีเทกเจอร์ที่หลากหลาย
กลมกล่อม แต่กลับสมดุลอย่างน่าประหลาดใจ และยังอุดมไปด้วยผลไม้ที่เน้นรสสัมผัสของชะเอม
ด้วยสัมผัสที่นุ่มลึกยาวนานทำให้ได้รับรสที่รู้สึกถึงความแตกต่างของผลเบอร์รี่รสชาติต่างๆ
นอกจากความสมดุลของไวน์ที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นความงดงามแล้ว ไวน์ชนิดนี้ยังมีความเข้มแข็ง นุ่มนวล
และความตรงไปตรงมาของรสชาติเป็นอย่างดี โดยรสชาติและกลิ่นของไวน์ชนิดนี้มีความเหมือนกันเป็นอย่างมาก
ด้วยรสสัมผัสของผลไม้จำพวกเบอร์รี่ โดยเฉพาะผลไม้สีแดงต่างๆที่มีทำให้ไวน์ชนิดนี้มีเสน่ห์และมีความร่วมสมัย
นอกจากนี้ไวน์ยังมีกลิ่นอายของความคลาสสิกนิดๆจากการเติมเครื่องเทศลงไปเล็กน้อย
เพื่อเพิ่มให้ไวน์ชนิดนี้มีความสดใหม่ รวมทั้งยังมีรสของสมุนไพรมาตัดรสชาติหลักทำให้ไวน์ชนิดนี้
มีรสสัมผัสที่ติดลิ้นยาวนานมากยิ่งขึ้น และยังคงเอกลักษณ์ของไวน์ชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี
เพื่อความสมบูรณ์แบบ ไวน์ตัวนี้ เมื่อดื่ม ควรเติมเต็มด้วยการรับประทานคู่กับ
เนื้อกวาง กระต่าย เป็ด และ เนื้อลูกวัว กับ ซอสเห็ด รวมถึง ปลาทูน่าในซอสไวน์และเนื้อแกะกับผัก
รวมทั้งอาหารญี่ปุ่นอย่างเช่นซูชิก็สามารถทานควบคู่ได้ด้วยเหมือนกัน นอกจากอาหารคาวที่เหมาะสม
ในการรับประทานคู่กับไวน์ชนิดนี้แล้ว ขนมหวานบางชนิดก็มีความเหมาะสมที่จะรับประทานควบคู่กับไวน์เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นขนมทาร์ตรสราสเบอร์รี่หรือขนมญึ่ปุ่นบางชนิด อีกทั้งควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 17-19 องศาเซลเซียส
และไวน์นี้จะมีรสชาติและกลิ่นที่ดีมากยิ่งขึ้นเมื่อไวน์นี้อยู่ในอุณหภูมิที่ 8-10 องศาเซลเซียส
ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ในประเทศอาร์เจนติน่า โดยเมืองนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในการผลิตไวน์ระดับโลก
โดยไวน์ชนิดนี้ได้มีการใช้องุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon 100% เท่านั้น
โดยองุ่นที่มีต้นกำเนิดจากไร่องุ่นในชุมชนย่าน Cruz de Piedra และ Luján de Cuyo
ซึ่งทั้งสองแห่งนั้นอยู่ในจังหวัด Mendoza ประเทศอาร์เจนติน่า
โดยไวน์ชนิดนี้มีกรรมวิธีในการผลิตที่นำองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon
เท่านั้นมาคัดเลือกโดยเอาพันธุ์และผลที่ดีเยี่ยมและมีคุณภาพสูงสุดมาใช้ในการหมักลงในถังโอ้ก
จากฝรั่งเศสอย่างดี โดยให้เวลาในการหมักยาวนานกว่า 18 เดือนเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติของไวน์ให้ดีเยี่ยมดีขึ้น
หลังจากนั้นไวน์ชนิดนี้จะเริ่มมีกลิ่นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยสีของไวน์ชนิดนี้จะมีสีที่แดงเข้มผสมรวมกัน
กับสีม่วงที่หลอมรวมกันอย่างดี เป็นเนื้อเดียวกัน รวมทั้งยังมีกลิ่นที่หอมมาก เป็นกลิ่นที่อุดมไปด้วยกลิ่นของแยมลูกพลัม
กลิ่นของพริกเขียว ลูกเกด กลิ่นของใบยาสูบ และกลิ่นของต้นโอ้ก
ซึ่งกลิ่นเหล่านั้นรวมกันอย่างสมดุลและทำให้รสชาติของไวน์ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสมีทั้งความหวานและความเผ็ดฉุนจางๆของกานพูและพริกไทยดำเล็กน้อย
มีรสชาติที่หอมหวานมาจากรสสัมผัสของผลไม้สีดำต่างๆ ทั้งไวน์ที่หมักจากลูกเกดดำ
รสชาติของพริกไทย รสของลูกพลัม กาแฟและช็อกโกแลตอีกด้วย
โดยรวมแล้วนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้มีความหวาน เผ็ดฉุน และขมที่ผสมรวมกันได้อย่างลงตัวทั้งรสชาติและกลิ่น
ทำให้ไวน์ชนิดนี้มัสัมผัสที่น่าดึงดูด มีเสน่ห์ มีความสดใหม่และมีความสมบูรณ์แบบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
โดยไวน์ชนิดนี้มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.5% นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่จะดื่มควบคู่กับการรับประทานคู่กับเนื้อสเต๊กต่างๆ ชีส และพาสต้าที่ใส่เครื่องเทศต่างๆ
เป็นไวน์ที่มีต้นกำเนิดในการผลิตมาจากเมือง Monterey County ซึ่งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยไวน์ที่มีการนำองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon มาใช้เป็นวัตถุดิบหลักเพียงชนิดเดียว
โดยไวน์ชนิดนี้เกิดจากการรังสรรค์มาจากนักปรุงไวน์ชื่อดังนามว่า Robert Mondavi
ผู้ที่กำเนิดมาจากชุมชน Oakville ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยนักปรุงไวน์คนนี้เป็นคนเดียวกันกับที่ออกแบบไวน์หลายชนิดที่มาจาก Napa Valley
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีมีอายุของไวน์ยาวนานเพียงแค่ 10 เดือนเท่านั้น
โดยการหมักครั้งนี้จะต้องใช้การหมักในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยใช้อัตราส่วนขององุ่นในปริมาณมาก
และวัตถุดิบอื่นๆใส่ในถังหมักในปริมาณน้อย โดยในการหมักไวน์นี้
จะใช้การหมักลงในถังโอ้กจากอเมริกาชั้นดีที่ใช้ในการหมักไวน์เบอร์บอน
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้มเหมือนกันกับสีของทับทิม และเมื่อเปิดขวดไวน์ออกมาก็จะพบว่ากลิ่นไวน์
นี้จะเป็นกลิ่นที่เหมือนกันกับกลิ่นของไวน์วิสกี้เบอร์บอนแบบดั้งเดม เนื่องมาจากกรรมวิธีในการผลิตไวน์นี้คล้ายคลึง
กับกรรมวิธีในการผลิตไวน์เบอร์บอน โดยกลิ่นที่นักดื่มจะได้คือกลิ่นของขนมหวานที่ทำมาจากแบล็กเบอร์รี่
รวมทั้งกลิ่นดาร์กเบอร์รี่ กลิ่นของแป้งที่ใช้ทำขนมแคร็กเกอร์ กลิ่นของน้พตาลทราย วานิลลา นมช็อกโกแลต
กลิ่นโอ้กย่าง กลิ่นกาแฟและกลิ่นรมควันจางๆ
นอกจากกลิ่นแล้ว รสชาติของไวน์นี้ก็นับได้ว่าเป็นรสชาติที่เหมือนกันกับกลิ่นอย่างมาก
เป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสของแบล็กเบอร์รี่ พายบลูเบอร์รี่ ขนมถั่วเคลือบคาราเมล
รสหวานจากน้ำตาลทรายแดง คาราเมล กาแฟโมคาและรสของควันจากการรมควัน
โดยรวมแล้วนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีรสชาติและกลิ่นที่ดีเยี่ยม
มีทั้งกลิ่นอายและรสชาติเหมือนกันกับไวน์เบอร์บอน และเป็นไวน์ที่เหมาะมากที่ดื่มควบคู่ไปกับการรับประทาน
กับซี่โครงย่างรมควัน ขนมปังกับแฮม พาสต้าและการรับประทานอาหารนอกบ้าน
นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์ที่ 14.5%
โดยไวน์ชนิดนี้มีต้นกำเนิดในหลากหลายสถานที่
ได้แก่ McLaren Vale, Wrattonbully, Padthaway, Langhorne Creek และ Barossa Valley
โดยทุกชนชนนั้นล้วนอยู่ในดินแดนทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่เหมือนกันกับไวน์ชนิดอื่นๆ
ที่มีต้นกำเนิดเพียงที่เดียวเท่านั้น โดยไวน์ชนิดนี้เกิดจากการรวมกันขององุ่นสองพันธุ์
ได้แก่ องุ่นพันธุ์ Shiraz และองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon โดยผสมในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน
ด้วยการใช้อัตราส่วน Shiraz 77% และ Cabernet Sauvignon 23%
ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกรรมวิธีในการหมักที่ค่อนข้างยาวนาน แต่เรียบง่ายกว่า
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการหมักประมาณ 12 เดือน
ซึ่งจะต้องใช้ถังในการหมักทั้งหมดสามถัง
ได้แก่ ถังโอ้กฝรั่งเศส ถังโอ้กตามฤดูกาลของฝรั่งเศส และถังโอ้กพนธุ์ดีจากอเมริกา
โดยทั้งสามถังได้ใช้ในการหมักอย่างสมดุลและลงตัว โดยไวน์ชนิดนี้จะต้องมีการหมักในสภาพอากาศที่หนาวและแห้ง
ไม่ชื้น ซึ่งฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการหมักไวน์ชนิดนี้ได้แก่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและช่วงฤดูหนาว
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีที่ผสมกันระหว่างสีแดงเข้มและสีแดงม่วง
โดยสีข้างในจะค่อนข้างทึบและสีขอบของไวน์จะสว่าง
นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นที่เหมือนกันกับกลิ่นของหินบลูสโตน
แผ่นและกลิ่นของเหล็กแทบจะทันที่เมื่อเปิดขวด
โดยกลิ่นขององุ่น Cabernet ก็จะโดดเด่นด้วยเช่นกัน ด้วยการทำให้ไวน์มีกลิ่นที่หวาน
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นของช็อกโกแลต ราสเบอร์รี่ และกลิ่นของผลไม้ที่มีสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน
นอกจากกลิ่นแล้ว รสชาติของไวน์ชนิดนี้ก็มีความเป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกัน โดยไวน์ชนิดนี้มีรสชาติที่คงที่
ไม่เปลี่ยนแปลงมาก รวมทั้งยังมีรสสัมผัสที่กลมกล่อมและเติมเต็มไปด้วยรสของบลูเบอร์รี่ และรสของมัลเบอร์รี่หรือต้นหม่อน
โดยรวมแล้ว นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีรสชาติและกลิ่นที่หอมหวาน
แต่เป็นความหวานที่ไม่ได้มาจากผลไม้เพียงอย่างเดียว แต่มาจากความหวานที่คล้ายคลึงกับสาหร่ายหวานนิดๆด้วย
นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่เหมาะสมในทุกโอกาสและสามารถดื่มได้ตลอดเวลา
โดยไวน์ชนิดนี้มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.5%
ไวน์ Kaiken Ultra Cabernet Sauvignon เป็นไวน์ที่มีต้นกำเนิดมาจากชุมชนเมือง Luján de Cuyo
ในจังหวัด Mendoza ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดของประเทศอาร์เจนติน่า โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ใช้องุ่นสองพันธุ์มาเป็นวัตถุดิบหลัก
ได้แก่ องุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon และองุ่นพันธุ์ Malbec โดยใช้องุ่นทั้งสองพันธุ์นี้ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน
โดยไวน์นี้ได้ใช้องุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon 95% และใช้องุ่นพันธุ์ Malbec อีก 5% โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เกิดจาก
การรังสรรค์โดย Aurelio Montes Baseden นักปรุงไวน์ชาวอาร์เจนติน่า
ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกรรมวิธีในการผลิตที่มีคุณภาพ โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ใช้วัตถุดิบทั้งองุ่นและผลไม้อื่นๆ
มาจากไร่องุ่น Vistalba เท่านั้น ซึ่งเป็นไร่องุ่นที่มีอายุมายานานกว่า 80 ปี รวมทั้งยังมีการคัดเลือกองุ่นที่มีคุณภาพสูง
ที่สุดมาใช้เท่านั้น หลังจากนั้นก็ได้มีการนำองุ่นที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
รวมทั้งยังมีการหมักลงในถังโอ้กฝรั่งเศส โดยจะหมักไว้เพียงสองในสามของถังเท่านั้น จะเริ่มมีการหมักในช่วงเดือนมีนาคม
เนื่องจากเป็นช่วงที่สภาพอากาศและอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการหมัก จนถึงช่วงกลางเดือนเมษายน
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีแดงราวกับสีของทับทิม และไวน์ชนิดนี้จะเป็นไว
น์ที่มีกลิ่นอายของความร่วมสมัยและมีความซับซ้อน
รวมทั้งยังมีกลิ่นที่แสดงถึงกลิ่นของเชร์รี่ดำ ลูกพรุน สตอว์เบอร์รี่
กลิ่นใบยาสูบและกลิ่นของเครื่องเทศที่ผสมรวมกันกับกลิ่นของวานิลลาจางๆ
นอกจากกลิ่นแล้ว รสชาติของไวน์นี้ก็มีความซับซ้อนไม่แตกต่างกัน
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีรสชาติที่แน่น เข้มข้น เต็มปากเต็มคำ
โดยรสชาติที่ได้จากไวน์นี้ได้รับมากจากรสสัมผัสของลูกพลัม เรดเคอร์แรน และรสของกาแฟโมคาจางๆ
โดยรวมแล้ว นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.5% นอกจากนี้
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เหมาะสมกับทุกเทศกาลได้อย่างดี
ที่เกิดจากการนำองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นวัตถุดิบหลักในกรรมวิธีในการผลิต โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีต้นกำเนิดมา
จากหมู่บ้านนาปา (Napa Valley) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เกิดจากการรังสรรค์
และการหล่อหลอมความคิดมาจาก Jaffrey Stambor นักปรุงไวน์ชื่อดังจากดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐโอไฮโอ้ ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกกรมวิธีการผลิตที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน โดยเริ่มจากการคัดเลือกองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon
และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่ตัดเอาก้านออกทั้งหมดแล้ว โดยวัตถุดิบที่เลือกนั้นจะต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงสุดเท่านั้น
หลังจากนั้นก็จะนำวัตถุดิบทั้งหมดนั้นแช่ลงในน้ำที่เย็นจัด ก่อนที่จะนำลงในถังหมัก
โดยในช่วงแรกนั้นจะนำวัตถุดิบหมักลงในถังไม้โอ้กฝรั่งเศสใบใหม่เท่านั้น เพื่อเพิ่มอายุให้กับไวน์ให้มากขึ้นอีกด้วย
โดยไวน์นี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและสีที่เป็นเอกลักษณ์และมีความเป็น cabernet Sauvignon อย่างชัดเจน
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีของไวน์ที่เป็นสีม่วงเข้มเหมือนกับสีของแร่โกเมน นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นที่หอม
และโดดเด่นมาจากองุ่นอย่างเข้มข้น เนื่องจากเป็นวัตถุดิบหลัก นอกจากนั้นก็จะมีกลิ่นของผลไม้ชนิดอื่นๆด้วย
ทั้งกลิ่นของแบล็กเบอร์รี่ กลิ่นของเชอร์รี่ กลิ่นของแบล็อกเคอร์แรน และกลิ่นของลูกพลัมจางๆ
นอกจากกลิ่นที่หอมหวานและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว รสชาติก็นับได้ว่ามีความแปลกใหม่เช่นเดียวกัน
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นที่งดงามและแบ่งออกเป็นชั้นๆอย่างชัดเจน โดยในชั้นแรกหรือช่วงแรกนั้น
นักดื่มจะได้รับรสชาติที่หวานจากรสสัมผัสของแบล็กเบอร์รี่ เชอร์รี่ แบล็อกเคอร์แรน และลูกพลัม หลังจากนั้น
รสชาติจะเริ่มทยอยเปลี่ยนเข้าสู่ชั้นที่สองที่เริ่มมีความเผ็ดฉุนจากเครื่องเทศและต้นโอ้ก
ซึ่งทั้งสองชั้นนั้นเป็นรสชาติที่มีความสมดุลกันได้เป็นอย่างดี
โดยรวมแล้ว ไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่สร้างความสดใหม่และความมีชีวิตชีวาให้แก่นักดื่มทั้งหลาย
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีอายุยาวนานกว่า 20 ปี รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่เหมาะสำหรับดื่มในงานสังสรรค์ต่างๆ
นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 13.8% เพียงเท่านั้น
มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เกิดจากการหมักจากองุ่นแดง โดยใช้องุ่นพันธุ์ Shiraz และ Cabernet Sauvignon
ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน โดยไวน์ชนิดนี้จะใช้องุ่นพันธุ์ Shiraz 52% และองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon
ที่ 48% โดยไวน์ชนิดนี้ เป็นไวน์ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของ Pat Connors เป็นไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 13.5%
ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกรรมวิธีหมักที่แตกต่างจากไวน์ชนิดอื่นๆ โดยไวน์ชนิดนี้จะต้องมีการคัดเลือกองุ่นที่มาใช้
โดยจะต้องเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปีเท่านั้น
โดยไวน์นี้จะเกิดจากการหมักในถังโอ้กฝรั่งเศสและถังโอ้กอเมริกัน และใช้เหล็อกสแตนเลสในการหมักอีกด้วย
ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้มสว่างที่ผสมรวมกันกับสีม่วงสว่าง โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่น
ที่หอมและเต็มเปี่ยมไปด้วยแบล็อกเคอร์แรน รวมทั้งยังมีกลิ่นของไวน์แคสซิสที่ที่เป็นไวน์ที่เกิดจากการหมักลูกเกดดำจางๆ
รวมทั้งยังมีกลิ่นที่หอมจากลูกพลัมและเชอร์รี่ดำ รวมทั้งยังมีกลิ่นหญ้าจางๆด้วย นอกจากนี้
ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นของพืชที่ใช้ในการแต่งรสอย่าง Aniseed และอบเชยที่ยิ่งเพิ่มให้ไวน์นี้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของรสชาตินั้น ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่อุดมไปด้วยความหวานของผลไม้ที่โลดแล่นเพื่อลิ้มลองรสที่งดงาม
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เต็มไปด้วยรสสัมผัสของบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และต้นไวโอเลต นอกจากนี้ยังมีรสชาติของเหล่า
ผลไม้สีดำที่หลอมรวมกับความเผ็ดและหวานนิดๆของๆเครื่องเทศ โดยเฉพาะต้นโอ้ก นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้
ยังมีรสสัมผัสที่เบาบางและนุ่มนวลลิ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่กลมกล่อม
มีรสชาติที่สมดุลกันมาก ทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติของวัตถุดิบต่างๆ
โดยรวมแล้ว นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีรสชาติและกลิ่นอายที่มีความดั้งเดิมแบบคลาสสิกได้เป็นอย่างดี
เป็นไวน์ที่มีความสดใหม่ในรสชาติ รวมทั้งมีการใช้วัตถุดิบที่สดมาจากไร่องุ่นทั้งหมด
และเป็นไวน์ที่สามารถดื่มได้เรื่อยๆทุกวัน อย่างเช่นชาวออสเตรเลีย
นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เหมาะสมสำหรับการรับประทานเนื้อสเต๊กกับพาสต้าควบคู่กับไวน์ชนิดนี้อีกด้วย
ที่เกิดจากกลั่นในถังธรรมชาติที่แตก เป็นวิสกี้ที่มีการเลือกเติมกรรมวิธี First fill selection
มีการวางจำหน่ายเป็น limited edition ในปี 2015 เป็นเหล้าสก็อตซ์ที่เป็นเอกลักษณ์
มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างเข้มข้น โดยอยู่ที่ประมาณ 59.1%
เหล้าชนิดนี้มีกลิ่นที่มีความเป็นเย็นจากน้ำแข็งบดและมีส่วนเพิ่มเติมจาก
มะพร้าว วานิลลา ครีม และกลิ่นคัสตาร์ด นอกจากนี้
นักดื่มทั้งหลายอาจะได้รับกลิ่นจากกล้วยและเยลลี่บางส่วนด้วย
ในเรื่องของรสชาตินั้น เหล้าชนิดนี้จะมีความแรงและเข้มข้นเป็นอย่างมากในช่วงคำแรก
หลังจากนั้นรสชาติก็จะค่อยๆดีขึ้น และเริ่มหวานขึ้นจากการหมักโอ้ก มีรสชาติเพิ่มเติมมาจากคัสตาร์ด
น้ำตาลไซตรัส และเหล้าชนิดนี้มีผลทำให้เกิดความสดชื่นได้อีกด้วย
เหล้าชนิดนี้นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มีรสชาติแบบ “การไต่ลำดับ”
โดยจะรุนแรงในช่วงแรกและเริ่มหวานขึ้นเรื่อยๆในช่วงท้าย รสชาติโดยรวมนั้นมีความหวานเล็กน้อย
มีเอกลักษณ์จากกลิ่นและรสสัมผัสของวานิลลา และมีกลิ่นไม้จากเขตอบอุ่นกับเครื่องเทศเล็กน้อย
ซึ่งรสชาติประเภทนี้มักจะพบได้ในเหล้าเบอร์เบินเก่าแก่มากกว่า 16 ปีขึ้นไปเท่านั้น
Glenlivet 21 Year Old Archive เป็นเหล้าที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง
จากการแข่งขันการประกวดเหล้าระดับนานาชาติในปี 2005-2007 เป็นเวลา 3 ปีซ้อน
ที่รัฐซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเหล้าที่ต้องใช้เวลาในการหมัก
แต่ละครั้งยาวนานกว่า 21 ปี โดยเหล้าชนิดนี้มีประมาณระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ 43%
โดยกลิ่นของเหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่เบาบางและมีความเป็นผลไม้สูงมาก
มีกลิ่นของน้ำตาลไซตรัส มะนาว ส้ม และกลิ่นจากดอกไม้ นอกจากนี้
ยังมีกลิ่นเสริมเพิ่มเติมมาจากการหมักในถังโอ้ก รวมถึงมีการผสมเครื่องเทศและน้ำผึ้งจางๆ
เพื่อไม่ให้มีแต่กลิ่นธรรมชาติมากจนเกินไป
นอกจากกลิ่นที่หอมหวาน เป็นธรรมชาติแล้ว
รสชาติของเหล้านี้ก็มีความเป็นมอลต์และน้ำผึ้งชัดเจน นอกจากส่วนผสมทั้งสองอย่าง
ที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเหล้านี้แล้ว ส้มก็ถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในเหล้านี้ด้วย
เหล้านี้ได้มีส่วนที่เพิ่มเติมจากขิง เครื่องเทศ อบเชย และโอ้กเปรี้ยว
เหล้านี้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก
มีความนุ่มติดลิ้นยาวนาน มีส่วนที่เน้นในความหวานจากน้ำตาลไซตรัส จากกลิ่นไม้จางๆ จากดาร์ก
ช็อกโกแลต และอบเชย นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มีรสชาติสมดุลและครบเครื่อง
ความเปรี้ยว หวาน เผ็ดและขมช่วยหลอมหลวมวัตถุดิบทั้งหลายให้กลายเป็นเหล้าชนิดนี้
นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มียอดขายได้ดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก ถือกำเนิดมาจากโรงกลั่นสุราใน Glenlivet
ที่อยู่ในย่าน Speyside มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า tom a Voan อันมีความหมายว่า
เหล้าที่ได้จากวัตถุดิบจากป่าไม้ในเขตมอเรย์ มีปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ประมาณ 58.1%
เหล้าประเภทนี้เป็นเหล้าที่มีกลิ่นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากเป็นเหล้าที่มีกลิ่นสัมผัสจากวานิลลาและเปลือกผลไม้ชนิดต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมปนเผ็ดนิดๆมาจากใบผักชีและแกงกะหรี่นิดๆ รวมกับกลิ่นขี้เลื่อยเบาๆ
ด้วยกลิ่นเหล่านี้อาจจะทำให้นักดื่มทั้งหลายได้รับความรู้สึกว่าได้ดื่มเหล้านี้กลางทุ่งหญ้า
ในธรรมชาติที่สวยงาม
เรื่องรสชาติก็ไม่มีความแตกต่างจากกลิ่นที่ได้รับมาเท่าไหร่นัก
เหล้านี้จะมีรสชาติสมดุลพอดีจากใบผักชี แกงกะหรี่ และผลไม้หลายๆชนิดรวมกัน
โดยเฉพาะรสชาติของมะม่วงที่นำออกมาเหนือผลไม้อื่นๆ
นับได้ว่าเหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีความสวยงามและมีรสชาตินุ่มนวล
มีความเป็นธรรมชาติ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และมีความเป็นผลไม้และสมุนไพรเป็นหลัก
โดยเฉพาะมะม่วงและความหวานจากผลไม้ต่างๆนั้นที่เสริมให้กลิ่นและรสชาตินั้นลงตัวกันอย่างพอดี
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!